HOMETOWN & UNIVERSITYNEWS & INFORMATIONCOURSESGALLERYFORUM 4UFAQs
บทความ - นางสาวศศิพินท ดิษฐานนท์

วันที่ 5 มีนาคม 2548 เวลาบ่ายสองโมง เครื่องบินสายการบินไทย แล่นลงจอดยังสนามบินนานาชาติคุนหมิง เวลานั้นเป็นช่วงที่หัวใจของเราพองโตอย่างบอกไม่ถูก การใช้ชีวิตต่างแดนโดยลำพังไม่มีพ่อแม่คอยดูแลกำลังจะเริ่มต้นขึ้นแล้ว

พอลงจากเครื่องไปถึงก็มีพี่คนไทยที่อยู่ที่นั่นชื่อพี่ปุกกับพี่ปุยมารับพาไปส่งที่หอพักนักศึกษาต่างชาติของมหาวิทยาลัยครูยูนนาน (Yunnan Normal University, เมืองคุนหมิง) หอพักนักศึกษาต่างชาติก็จะมีห้องพักให้เลือกสองแบบ คือ แบบห้องคู่ กับแบบห้องชุด เราเน้นความประหยัดเข้าไว้เลยเลือกแบบห้องชุด เพราะถูกกว่า ห้องชุดมีทั้งหมดสามห้องนอน หนึ่งห้องน้ำ นอนห้องละสองคน โชคดีที่มีเพื่อนไปด้วยหนึ่งคนก็เลยนอนห้องเดียวกัน ส่วนพื่อนร่วมห้องก็มีสโลวาเนียสองคน ลาวหนึ่งคน แล้วก็พี่คนไทยอีกหนึ่งคนชื่อพี่เจย์ พอดีวันที่ไปถึงเป็นวันเสาร์ก็เลยยังไม่ได้ไปลงทะเบียนเรียน จัดของอะไรเสร็จเรียบร้อยแล้วก็ลงไปหาอะไรกินแถวๆ มหาลัย อาหารมื้อแรกในเมืองคุนหมิง คือ ข้าวผัดไข่ แล้วเพื่อนที่มาด้วยกันชื่อโน้ตสั่งข้าวผัดแบบไทย คือ ตอนนั้นยังไม่รู้อะไรเท่าไหร่ ไม่รู้ว่าอาหารที่นั่นเป็นยังไง ก็เลยสั่งที่คิดว่าน่าจะพอกินได้ไว้ก่อน พอเขาเอามาเสิร์ฟปรากฎว่าเยอะมาก ประมาณว่าหนึ่งจานกินได้สามคน (สำหรับคนกินน้อย) แล้วที่แย่กว่านั้น คือ ข้าวผัดแบบไทยที่โน้ตสั่ง เป็นข้าวผัดกับพวกหอม กระเทียมแล้วก็พริก โน้ตเห็นแล้วแทบอยากจะร้องไห้ นี่เหรอข้าวผัดแบบไทยๆที่คิดว่าจะฝากท้องไว้มื้อแรก ส่วนข้าวผัดไข่ของเราก็มีแต่ไข่กับข้าวจริงๆ แถมน้ำมันนี่เยิ้มเลย สรุปมื้อนี้ก็เลยกินได้นิดเดียว พอกลับมาที่หอก็เจอพี่ปุกกับพี่ปุยแล้วก็พี่ๆ คนไทยอีกสองสามคน พี่ปุยก็พาไปดูตึกเรียนที่เราจะต้องไปลงทะเบียนวันจันทร์ แล้วก็พาไปซื้อบัตรโทรศัพท์สองศูนย์หนึ่งโทรกลับบ้าน จากนั้นพี่เขาก็กลับ เราก็กลับหอ

พอดีช่วงที่ไปนั้นเป็นปลายฤดูหนาว อากาศยังหนาวอยู่มาก และเป็นเพราะไม่มีอะไรทำ ทีวีก็ไม่อยากดู เพื่อนก็ยังไม่รู้จักใคร บวกกับอากาศหนาวที่ทำให้จิตใจหดหู่อย่างบอกไม่ถูก เลยทำให้คิดถึงพ่อกับแม่มาก เอาแล้วสิ แค่วันแรกที่ไปถึงก็อยากกลับบ้านซะแล้ว ก็เลยร้องไห้กับโน้ตสองคน ในใจก็คิด “นี่เราต้องอยู่ที่นี่อีกสามเดือนครึ่งจริงๆเหรอ” ร้องไห้จนง่วงก็เปลี่ยนชุดนอนเลยไม่ได้อาบน้ำเพราะหนาวมาก น้ำอุ่นก็ไม่มี ที่คุนหมิงส่วนใหญ่เค้าจะใช้แสงอาทิตย์ในการทำน้ำอุ่น หรือที่เรียกว่าไท่หยางเหนิง ถ้าช่วงไหนไม่มีแดดติดต่อกันหลายวันก็จะไม่มีน้ำอุ่นใช้ แล้วที่หอก็ดันไม่ติดเครื่องทำน้ำอุ่น พอช่วงฤดูหนาวก็แย่เลย แต่แบบนี้ก็ดีเหมือนกันเป็นการประหยัดพลังงานไปในตัว

วันอาทิตย์ตื่นเช้ามากินมื้อเช้าเสร็จก็โทรหาเพื่อนอีกคนหนึ่งที่มาไฟลท์เดียวกันชื่อบาส เขาไปเช่าบ้านอยู่กับพี่คนไทยสองคน ไม่ได้อยู่หอ ก็คุยกันว่าจะไปชมเมืองกัน นัดเจอกันตรงเช่อเหมิน คือประตูข้างของมหาลัย หอนักศึกษาต่างชาติก็อยู่ตรงเช่อเหมิน พอบาสมาถึงก็ออกเดินทางโดยการ “เดิน” นั่นเอง ไปหาซื้อแผนที่ของเมืองคุนหมิงมากางดู แล้วก็หาสถานที่เที่ยวที่ใกล้ที่สุด จะได้เดินไปได้ ก็เจออยู่ที่หนึ่ง เป็นสวนสาธารณะใจกลางเมืองคุนหมิง ที่คนที่นี่เรียกกันติดปากว่า ชุ่ยหูห่างจากมหาลัยไปไม่ไกลนัก ก็ตัดสินใจว่าจะไปที่นั่นกัน เดินตามแผนที่ไปเรื่อยๆ เดินไปเดินมาชักจะหลง หาเส้นทางในแผนที่ไม่เจอ ก็เลยเดินมั่วไปเรื่อยๆ จนกระทั่งไปถึงชุ่ยหูจนได้ พวกเราดีใจกันมากเพราะนึกว่าหลงทางซะแล้ว ทิวทัศน์ของชุ่ยหูสวยมาก มีคล้ายๆทะเลสาบและก็ต้นไม้ ดอกไม้นานาชนิด หนุ่มๆสาวๆที่เป็นแฟนกันก็มักจะไปเดินเล่นหรือนั่งชมวิวกันที่ชุ่ยหูนี่แหละ พอเดินดูจนทั่วแล้วก็หาทางเดินกลับหอ เดินไปมั่วๆอีกตามเคยก็มาโผล่ตรงถนนใหญ่ทางไปมหาลัยจนได้ กลับมาถึงหอก็มาอาบน้ำ น้ำเย็นมากเหมือนกับน้ำแช่ตู้เย็นบ้านเรายังไงยังงั้น แต่อาบเสร็จก็สบายตัวดี

วันต่อมาก็รีบตื่นแต่เช้าไปที่ตึกเรียน ไปถึงก็ไปลงทะบียนเรียน แต่เป็นเพราะเราไปหลังจากที่เขาเปิดเทอมกันไปแล้วก็เลยไม่ได้สอบวัดระดับ อาจารย์เห็นว่าราก็มีพื้นฐานมาพอสมควร สื่อสารได้ ก็เลยเลือกให้เรียนห้องจงจี๋บีปาน คือระดับกลางห้องบี แต่เพราะวันนี้กว่าจะจัดการอะไรเสร็จก็เกือบเที่ยง ก็เลยไม่ได้เข้าห้องเรียน พอวันอังคารมีเรียนแปดโมงเช้าวิชาจงเหอ คือเรียนเกี่ยวไวยากรณ์ เป็นเพราะไปถึงเช้าด้วยความตื่นเต้น ก็เลยยังไม่มีใครมา ซักพักก็มีผู้หญิงเดินเข้ามาสองคน ก็เลยเข้าไปทักถามว่าเป็นชาติไหน สรุปว่าเป็นคนไทย ชื่อ พี่หุยกับพี่หลิน พี่เขาก็แนะนำอะไรหลายๆ อย่างให้เราเยอะมาก พอเลิกเรียนพี่เขาก็พาไปกินข้าวที่โรงอาหาร สอนว่าต้องซื้ออาหารยังไง ทำบัตรโรงอาหารยังไง ที่เราประทับใจโรงอาหารที่นี่ คือ แต่ละช่องขายอาหารก็จะมีเครื่องสำหรับเอาบัตรสำหรับซื้ออาหารไปแปะที่เครื่อง แล้วเขาก็จะหักค่าอาหารในบัตรไปเลยโดยที่ไม่ต้องจ่ายเงินสดแล้วก็ไม่ต้องมาเสียเวลาทอนเงิน ทำบัตรครั้งแรกก็เสียร้อยหยวน พอใช้ไปจนเงินในบัตรใกล้ๆ จะหมดก็เอาบัตรไปเติมเงินได้ สะดวกมากๆ แต่ถ้าใครที่ไม่ได้ทำบัตรก็สามารถแลกคูปองครั้งละสิบหยวนได้ ซื้อเสร็จใช้ไม่หมดก็เอามาแลกเงินคืน แต่ต้องแลกวันต่อวัน ถ้าข้ามวันแล้วยังไม่ได้แลก คูปองนั้นก็เสียไปเอามาใช้วันต่อไปอีกไม่ได้ พอกินข้าวเสร็จพี่หุยพี่หลินก็พาไปร้านหนังสือ บอกว่าที่นี่ถ้ามีบัตรลดก็จะได้หนังสือราคาถูกกว่าปกติ15% พี่เขาก็บอกอีกว่าซื้อให้ครบห้าร้อยหยวนก็เอาใบเสร็จมาทำบัตรได้แล้ว พอซื้อหนังสือเสร็จพี่เขาก็ขอตัวกลับบ้าน เราก็กลับหอ วันนี้รู้สึกดีกว่าสองวันแรกที่มาถึงมาก เจอพี่คนไทยใจดีทำให้ไม่ค่อยคิดถึงบ้านเท่าไหร่

พอเริ่มเรียนก็เริ่มรู้จักเพื่อนมากขึ้น ทั้งเพื่อนคนไทยแล้วก็คนต่างชาติ อย่างห้องที่เรียนก็มีคนไทย เกาหลี ญี่ปุ่น อมริกัน เวียดนาม มีเพื่อนร่วมห้องคนหนึ่งเป็นคนญี่ปุ่น แต่อายุประมาณ 70กว่าแล้ว เท่าๆ กับคุณตาเราเลย น่ารักมาก แต่เห็นว่าเป็นเพื่อนห้องเดียวกันก็เลยเรียกคุณลุงแทน คุณลุงคนนี้ ชื่อ จี๋เฉียวหม่าน เป็นคนอารมณ์ดี อัธยาศัยดี และที่สำคัญยังดูแข็งแรงมาก ปกติคุณลุงจะมาเช้าก่อนใครเพื่อน มาถึงก็จะมาออกกำลัง ยกแข้งยกขาเล็กๆ น้อยๆ ในห้องเรียน คุณลุงจี๋เฉียวก็จะมีเพื่อนร่วมแก๊งค์ที่เป็นคนญี่ปุ่นเหมือนกันประมาณสามสี่คน อายุก็รุ่นราวคราวเดียวกับแกนั่นแหละ มาเรียนภาษาจีนเหมือนกับคุณลุง แต่เรียนคนละห้อง กลุ่มคุณลุงน่ารักมาก ไปไหนมาไหนด้วยกัน ตอนเย็นก็จะพากันไปตีแบด เห็นกลุ่มของคนลุงทีไรก็อดยิ้มไม่ได้ทุกที ที่สำคัญคือ ทำให้เราเข้าใจคำพูดที่ว่า “ไม่มีใครแก่เกินเรียน” จริงๆ แล้วก็เป็นเหมือนแรงกระตุ้นให้เราตั้งใจเรียนต่อไปอีกด้วย

ที่นี่นักเรียนแต่ละห้องก็จะมีปานจู่เริ่น หรืออาจารย์ประจำชั้นนั่นเอง ปานจู่เริ่นห้องเรา ก็คืออาจารย์ที่สอนวิชาจงเหอ คือซ่งเหล่าซือ ซ่งเหล่าซือเป็นอาจารย์ที่นักเรียนทุกคนรักมาก ทั้งใจดีแล้วสอนดีอีกต่างหาก พูดตามตรงตอนที่เรียนอยู่ที่นั่นก็มีโดดเรียนบ้าง แต่วิชาของซ่งเหล่าซือเนี่ย โดดน้อยมาก แทบจะไม่โดดเลยด้วยซ้ำ และทุกๆ เทอมมหาลัยก็จะให้เงินค่ากิจกรรมแต่ละห้อง ห้องละสองร้อยหยวน เพื่อให้นักเรียนในห้องไปทำกิจกรรมร่วมกัน ห้องเราก็ตกลงกันว่าจะเอาเงินไปกินอาหารไทยกัน ร้านที่ไปกินเจ้าของร้านเป็นคนจีน แต่เคยเป็นกุ๊กอาหารไทยในโรงแรมแห่งหนึ่งอยู่หลายปี เลยทำอาหารไทยได้ไม่เลวทีเดียว ทุกคนชอบกันมาก พอกินเสร็จ ซ่งเหล่าซือก็ชวนพวกเราไปร้องคาราโอเกะด้วยกัน โดยหุ้นกันออกเงิน แต่ซ่งเหล่าซือช่วยออกมากกว่าคนอื่น คาราโอเกะที่เราไปเป็นร้านที่ใหญ่ที่สุดอยู่แถวคุนตูซึ่งเป็นแหล่งนักเที่ยวของคนกลางคืน คล้ายๆ กับอาซีเอเมืองไทยนั่นแหละ งานนี้ซ่งเหล่าซือวาดลวดลายร้องเพลงให้พวกเราฟังซะหลายเพลง ร้องเพราะซะด้วยสิ คุณลุงจี๋เฉียวก็ไปแต่เสียดายที่คุณลุงไม่ได้ร้องซักเพลง หลังจากที่ไปทำกิจกรรมความสัมพันธ์ของพวกเราก็ยิ่งแนบแน่นขึ้น เวลาเรียนก็สนุกขึ้น โดยเฉพาะวิชาสนทนา เหล่าซือที่สอนยังดูวัยรุ่นมาก ดังนั้นเวลาพูดถึงอาจารย์ที่สอนวิชานี้ พวกเราจะเรียกชื่อภาษาอังกฤษของอาจารย์ คือ แอรอน แต่ถึงจะดูยังวัยรุ่นอยู่ แอรอนก็สอนดีมาก จะเน้นให้เราพูดและแบ่งเป็นกลุ่มถกหัวข้อในบทเรียน วิชานี้เป็นวิชาที่สนุกมาก แต่ก็เป็นวิชาที่น่ากลัวที่สุดด้วย เพราะบางครั้งคิดไม่ออกว่าจะพูดอะไร แต่ถ้าเราไม่ค่อยพูดแอรอนก็จะถามเราเป็นพิเศษ ให้เราพูดจนได้

นอกจากกิจกรรมในห้องเรียนแล้วที่นี่ก็ยังมีกิจกรรมนอกห้องอื่นๆ ให้นักศึกษาต่างชาติได้เข้าร่วมอีกมาก เช่น ชมรมภาษาจีนที่จัดกิจกรรมฮั่นหยวีเจี่ยวทุกๆ สองสัปดาห์ ให้นักศึกษาต่างชาติได้มีโอกาสแลกเปลี่ยนความคิด และฝึกทักษะทางภาษากับนักศึกษาจีน เนื่องจากที่มหาวิทยาลัยครูยูนนานได้เชื่อมสัมพันธ์ไว้กับหลายๆมหาวิทยาลัย หลายๆองค์กรในเมืองไทย ดังนั้นจึงมีการจัดกิจกรรมเชื่อมสัมพันธ์ระหว่างประเทศมากมาย เช่น งานลุ่มแม่น้ำโขงเป็นงานที่เชื่อมสัมพันธ์ระหว่างจีนและประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ งานนี้เราก็ได้มีโอกาสเข้าร่วมด้วย โดยร่วมร้องเพลงประสานเสียงระหว่างนักศึกษาไทยและนักศึกษาเวียดนาม โดยนักศึกษาไทยจะร้องเพลงพระราชนิพนธ์ “ใกล้รุ่ง” นักศึกษาเวียดนามก็จะร้องเพลงเวียดนามหนึ่งเพลง สุดท้ายก็จะมาร่วมกันร้องเพลงจีนอีกหนึ่งเพลง งานนนี้เราซ้อมกันหนักมาก ซ้อมกันอยู่หลายวัน แต่ตอนแรกมีปัญหาตรงที่ว่าจะต้องใส่ชุดประจำชาติ ก็ไม่รู้จะไปหาที่ไหน ก็นึกขึ้นได้ว่าที่นั่นมีสถานกงสุลไทยอยู่ ก็เลยลองโทรไปถามดู ปรากฎว่าที่นั่นมีชุดไทยซึ่งปกติเขาจะไม่ให้ยืม แต่พี่ที่สถานกงสุลก็ใจดี เห็นว่าเราต้องเอาไปร่วมกิจกรรมของมหาลัย หาที่อื่นก็หาไม่ได้ก็เลยให้ยืม พอถึงวันงานตื่นเต้นมาก เพราะคนเข้ามาดูจนล้นห้องประชุมใหญ่ของมหาลัยทีเดียว แต่ทุกอย่างก็ผ่านไปได้ด้วยดี งานนนี้ได้ทั้งความภูมิใจ และก็ได้เพื่อนเพิ่มขึ้นอีก อีกกิจกรรมหนึ่งที่ประทับใจมาก คือ งานอาหารนานาชาติ เขาให้แต่ละห้อง ทำอาหารมาประกวด ห้องหนึ่งๆก็จะมีอาหารหลายชาติ ซึ่งเราว่าประกวดแบบนี้เป็นความคิดที่ดีมาก เพราะไม่ใช่เป็นการประกวดอาหารแต่ละชาติ ไม่ใช่เป็นการแบ่งว่าชาติไหนจะทำอร่อยกว่ากัน แต่เป็นการสร้างความสามัคคีมากกว่า เพราะแต่ละห้องถึงแม้จะเป็นคนละเชื้อชาติ แต่ก็ต้องมาช่วยกันคิดว่าจะทำยังไง ประเทศเธอทำอะไร ประเทศฉันทำอะไร แล้วเอามาจัดรวมกันไปแข่งกับห้องอื่นๆ

ถึงวันงานเราก็ต้องช่วยกันทำคนละไม้คนละมือ เราไปทำอาหารกันที่บ้านพี่คนไทยคนหนึ่งชื่อพี่นันท์ แต่เพราะทำอาหารทำกันหลายอย่าง ซ่งเหล่าซือก็เลยอาสาขับรถมารับ ไปถึงก็จัดเตรียมซุ้มกันเป็นการใหญ่ คนเยอะมากๆ เพราะมีคนจีนมาร่วมงานด้วย จนตึกเรียนแน่นไปด้วยผู้คน กรรมการก็จะมาชิมอาหารของแต่ละห้อง พอกรรมการชิมเสร็จก็จะอนุญาตให้คนที่มาร่วมงานร่วมชิมอาหารด้วย เราก็เลยแอบไปชิมอาหารของห้องอื่นด้วยเหมือนกัน แต่ละห้องก็ทำอร่อยกันมาก งานนี้ถือว่าไม่มีใครยอมแพ้ใครเลย ทำกันมาสุดฝีมือ และพอผลการตัดสินออกมา ห้องเราก็เฮกันใหญ่เพราะคว้ารางวัลที่หนึ่งไปครอง ดีมากๆ ได้รางวัลแถมยังได้ชิมอาหารอร่อยๆ ของชาติอื่นๆ อีก และอีกความประทับใจ คือ เพื่อนคนจีน ที่คุนหมิงมีนักศึกษาจีนที่เรียนภาษาไทยเยอะมาก บางคนพอเดินผ่านได้ยินเราพูดภาษาไทยก็เข้ามาทักเลย ถามว่าเป็นคนไทยเหรอ ก็เลยทำให้เราได้รู้จักเพื่อนคนจีนเยอะมาก แลกเปลี่ยนกันโดยที่เขาสอนภาษาจีนให้เรา เราก็สอนภาษาไทยให้เขา มีเพื่อนคนจีนอยู่สองคนที่เราค่อนข้างสนิท เราตั้งชื่อเล่นให้เขาว่ารุ่งกับหยก ภาษาไทยของรุ่งจะค่อนข้างใช้ได้ จนได้ไปเป็นไกด์นำเที่ยวคนไทย เขาก็มาปรึกษาเราให้ช่วยแปลบ้าง ทุกๆ อาทิตย์รุ่งก็จะมาเยี่ยมที่หอ เอาของกินมาฝากเป็นประจำ เวลาเราจะไปซื้อของก็จะอาสาพาไปทุกครั้ง น่ารักมากๆ ตอนนี้รุ่งก็ได้ไปเป็นอาจารย์สอนภาษาจีนที่เมืองไทยแล้ว ดีใจกับเขาจริงๆ เพราะเขาหวังว่าจะได้ไปอยู่เมืองไทย ตอนนี้ก็สมดังตั้งใจแล้ว

และแล้วเวลาแห่งความสุขก็ใกล้จะจบลง ความรู้สึกตอนนั้นตรงข้ามกับวันแรกที่มามากๆ รู้สึกผูกพันกับคุนหมิง ผูกพันกับเพื่อน ผูกพันกับคนที่นี่ เพราะเรากับโน้ตจะต้องกลับก่อนเพื่อนๆ ทุกคนในห้อง พอคุณลุงจี๋เฉียวรู้ว่าพวกเราใกล้จะกลับแล้ว ก็เลยชวนพวกเรากับเพื่อนๆ ในห้องไปทานข้าวบ้านคุณลุง คุณลุงจะทำอาหารญี่ปุ่นให้ทาน ไปถึงบ้านคุณลุงก็ต้องตื่นตาตื่นใจกับสวนสัตว์เล็กๆ ในบ้านของแก คุณลุงแกทำห้องๆ หนึ่งไว้สำหรับเลี้ยงนก เลี้ยงแมว กระต่าย หนู เต็มไปหมด น่ารักๆ ทั้งนั้น ถึงว่าสิว่าทำไมทั้งสุขภาพกายสุขภาพจิตของคุณลุงแกถึงได้แข็งแรงขนาดนี้ ก็ทั้งชอบออกกำลังกายแล้วก็จิตใจอ่อนโยนรักสัตว์อย่างนี้นี่เอง คุณลุงปล่อยให้พวกเราเพลิดเพลินกับการดูสัตว์เลี้ยงของแกไปพลางๆ แล้วแกก็เข้าครัวไปทำอาหาร ทำเสร็จก็เรียกพวกเราไปทาน คุณลุงทำข้าวแกงกะหรี่แบบญี่ปุ่น แล้วก็มีพวกปลาดิบ อร่อยทั้งนั้นเลย กินกันไปก็คุยกันไป สนุกมากๆ จนทำให้เราลืมถึงเรื่องที่ใกล้จะกลับไปเลย มีแต่ความสุขกับความสนุกมาแทนที่

วันที่ 15 มิถุนายน เป็นวันที่เราจะต้องเดินทางกลับเมืองไทยแล้ว ใจหายมากๆ จากวันแรกความรู้สึกที่ว่าจะต้องอยู่ที่นี่อีกสามเดือนจริงๆ เหรอก็กลายมาเป็นว่านี่สามเดือนผ่านไปแล้วเหรอ ก่อนกลับก็ไปลาอาจารย์กับเพื่อนๆ มีเพื่อนๆ ส่วนหนึ่งที่ไปส่งที่สนามบิน ตอนแรกก็ดีๆ อยู่หรอกแต่พอจะต้องเข้าไปเช็คหนังสือเดินทางเตรียมขึ้นเครื่องนี่สิ น้ำตามาจากไหนไม่รู้ไหลมาเป็นสายเลย ก็กอดร่ำลาเพื่อนๆ ทั้งน้ำตา ไม่อยากจากไปจริงๆ แต่ก็ไม่มีงานเลี้ยงใดที่ไม่เลิกรา สามโมงยี่สิบเครื่องบินสายการบินไทยก็บินออกจากสนามบินนานาชาติคุนหมิง ยังคงทิ้งไว้แค่เพียงประสบการณ์และความทรงจำที่ดีไว้เบื้องหลัง การที่มีได้โอกาสใช้ชีวิตในคุนหมิงครั้งนี้เป็นช่วงเวลาที่มีคุณค่ามาก ได้สัมผัสถึงมิตรภาพอันอบอุ่น ได้เรียนรู้ถึงการอยู่ร่วมกับคนอื่น การช่วยเหลือซึ่งกันและกัน บางคนอาจจะคิดว่าความสัมพันธ์แบบนี้เป็นความสัมพันธ์ที่ฉาบฉวย จากกันก็ลืมกันไปเอง แต่สำหรับเราแล้วไม่ใช่ ใครที่ไม่ได้มาสัมผัสก็คงจะไม่รู้ ความรู้สึกบางอย่างเราก็ไม่สามารถจะใช้คำพูดมาอธิบายได้ ต้องสัมผัสด้วยใจ ประสบการณ์ที่ได้เล่ามาข้างต้นเป็นแค่เสี้ยวเดียวเท่านั้น ยังมีเรื่องราวและมิตรภาพที่เกิดขึ้นระหว่างที่อยู่ที่คุนหมิงอีกมากมาย ซึ่งคงไม่สามารถเขียนเล่าบรรยายลงในการะดาษเพียงไม่กี่หน้านี้ได้หมด ถึงแม้ช่วงเวลาที่อยู่ที่คุนหมิงจะเป็นเพียงช่วงเวลาสั้นๆแต่ก็ได้ก่อให้เกิดมิตรภาพที่ลึกซึ้งจนยากที่จะลืมได้ และมิตรภาพเหล่านี้ก็จะคงอยู่ในความทรงจำของเราตลอดไป


All Rights Reserved, Copyright © 2001
Tel : (66) 02-229-4477-8, 09-790-7744, 06-627-1751 Fax : (66) 02-229-4479 E-mail : [email protected]