HOMETOWN & UNIVERSITYNEWS & INFORMATIONCOURSESGALLERYFORUM 4UFAQs
บทความ - นายหมู

เมืองจีนไม่เลวร้ายอย่างที่คิด

ก่อนมาเมืองจีนมีคนพูดขู่ไว้ต่างๆ นานาทำให้มองภาพเมืองจีนแบบที่ไร้ความเจริญและอารยธรรมสุดๆ แต่ก็ดีที่จินตนาการไว้แบบนั้น ทำให้พอมาถึงถึงรู้สึกไม่เลวร้ายอย่างที่คิด เพราะจริงๆ ตอนนี้เค้าก็พัฒนาไปเยอะแล้ว ตึกรามบ้านช่องก็ค่อนข้างทันสมัย ก็มีแค่นิสัยบางอย่างที่ยังเป็นอยู่บ้างแต่ก็ไม่ถึงกับทนไม่ได้ อาจจะรู้สึกหงุดหงิดนิดหน่อย ของอย่างนี้ต้องค่อยเป็นค่อยไปซักพักก็ชิน ถ้าคิดว่าสู้ได้ก็เดินทางได้เลย เพราะมีสุภาษิตจีนบทหนึ่งกล่าวไว้ว่า”ไม่มีอะไรที่คนเราทนไม่ได้ กลัวแค่ไม่มีความตั้งใจจริง”

มาแล้วต้องเที่ยว (ประสบการณ์นอกห้อง)

เรื่องเรียนในห้องเราไม่พูดถึงเพราะทุกคนต้องเจอแน่นอน อันนี้เอาตัวอย่างจากประสบการณ์ตรงบางส่วนมาให้อ่านเล่นกันแล้วกัน ลองอ่านๆ ดูก็จะรู้ว่าประสบการณ์นอกห้องเนี่ยหาซื้อกันไม่ได้จริงๆ ต้องไปเจอเอง ถ้ามีโอกาสมาถึงนี่แล้ว ไม่ได้เจอคงเสียดาย ใช้ชีวิตให้คุ้ม

กำแพงเมืองจีนที่มู่เทียนยี่
06-09-48
ตอนเช้าเราก็เริ่มหาอาหารเช้า วันนี้เราจะลองเบเกอรี่หน้ามหาลัยกัน เริ่มเลือกจากหน้าตาเป็นหลักได้มา 2 แบบพอ เพราะถ้ามากกว่านี้จะเริ่มเป็นภาระ แล้วก็ไปขึ้นรถวันนี้เราจะไปกำแพงเมืองจีนกัน ที่เค้าบอกว่าเป็นสิ่งมหัศจรรย์วันนี้เราจะได้ไปดูด้วยตากัน ขึ้นรถแล้วก็ต่างคนต่างหลับไปประมาณ 2 ชั่วโมงครึ่งถึงกำแพงเมืองจีนประมาณเที่ยงตรง เราก็ไม่รีรอเดินขึ้นไปทันทีด้วยไฟอันแรงกล้า แต่พอเดินขึ้นไปตามบันไดทางขึ้นได้ประมาณ 10 นาทีก็ รู้สึกว่าเมื่อไหร่จะถึงซะทีวะเนี่ยบันไดทำไมมันเยอะจัง เดินขึ้นไป เดินขึ้นไป เดินขึ้นไป เดินขึ้นไป เดินขึ้นไป เดินขึ้นไป ห้ามพูดคำว่าเหนื่อยเด็ดขาด เดินขึ้นไป เดินขึ้นไป คนเริ่มน้อยลง เดินขึ้นไป เดินขึ้นไป เดินขึ้นไป ในที่สุดเราก็เริ่มเห็นแสงสว่างเริ่มเห็นจุดหมายปลายทาง แล้วก็เจอป้ายบอกว่าประมาณ ชื่นชมในความพยายามของ แล้วในที่สุดเราก็ได้ชื่นชมกับความงามของกำแพงเมืองจีนซะที แต่ก็รู้สึกว่าคุ้มค่าสุดๆ ทำไมมันยิ่งใหญ่ขนาดนี้ ยาวสุดลูกหูลูกตาเลย เราก็เดินชมวิวกันซักประเดี๋ยวแล้วก็หาจุดที่พักเพื่อกินอาหารกลางวันกัน หลังจากนั้นเราก็ไปดูจุดที่จะลงไปสู่ด้านล่าง มีวิธีให้เลือก 3 วิธีคือ 1 เดิน 2 นั่งกระเช้าไฟฟ้า (Lan che) 3 นั่ง Slider เอาละค่อยตัดสินใจทีหลังเรายังมีเวลาที่จะไปเดินดูอะไรอีกเยอะ แล้วเราก็เห็นจุดหมายคือสุดทางเดินมีจุดเหมือนป้อมขนาดใหญ่ 2 ชั้น ถ้าไม่มีพี่คนไทยที่เป็นคนจุดประกายเราคงไม่คิดว่าจะเดินไปสุดทางได้ ด้วยความอยากของพี่คนไทย เราก็เลยบ้าตามไปด้วย เอาวะไหนๆ มาแล้วเอาซักตั้ง เดิน เดิน เดิน ถึงยังวะเนี่ย เดิน เดิน ยังอีก เดิน เดิน เดิน เวลาน้อยแล้วเดี๋ยวกลับไม่ทันเวลานัดหมายต้องรีบ เดิน เดิน เดิน ในที่สุดเราก็ถึงจุดที่เค้าไม่ให้เดินต่อไปอีกแล้วสนองตัณหาได้สำเร็จขาเดี้ยงไปเลย ยังต้องเดินกลับอีกเฮ้อ......เอาละรีบไปหน่อยเดินต่อไป จนในที่สุดเราก็ถึงจุดซื้อตั๋วกระเช้าซะที เรากับเพื่อนเลือกลงโดย Slider ส่วนพี่คนไทยกับน้องอีกคนเลือกที่จะลงโดยกระเช้า เอาหละเดี๋ยวไปเจอกันข้างล่าง ลงไปถึงเราก็ซื้อไอติมกินกันเพราะร้อนเหลือเกิน แล้วก็กลับไปรอที่รถเพื่อเดินทางกลับหลับต่อไปจนถึงมหาลัย จี๋หลิน (ฉางไป๋ซาน)

01-09-05
เอาหละเริ่มเดินทางไปฉางไป๋ซาน สถานีคนเยอะจริงๆ เห็นแต่หัวคน พอขึ้นรถได้ก็เจอกับความแออัดอีกครับท่าน ตู้นอนเป็นแบบ 3 ชั้นล็อกละ 6 เตียงต้องนั่งอย่างนี้ 21 ชม. แต่ก็ยังดีที่ภายในใหม่มาก แล้วก็สะอาด ห้องน้ำก็ดี สรุปว่าดีกว่าบ้านเราอีก กิจกรรมบนรถก็ไม่มีอะไรมาก เล่นหมากรุกจีนผลัดกันไปเรื่อย มีพี่อ้วนคนนึงอยู่ล็อกเดียวกันไปทัวร์เดียวกัน มองอยู่ซักพักเราก็รู้ว่าเค้าอยากเล่นด้วยเลยชวนเค้าเล่นด้วยกัน เลยเจอเซียนครับท่านเก่งสุดๆ แถมเวลาดูเราเล่นก็สอนอีกว่าเดินแบบไหนดี แถมเป็นแฟน 3 ก๊กอีกงานนี้เลยเจอเพื่อนซี้เลยครับเสวนากันมันส์ พอ 3 ทุ่มครึ่งเค้าก็ปิดไฟ บังคับนอน นอนไม่ค่อยหลับตลอดคืนเลย

02-10-05
ตื่นมา 6 โมงกินมาม่าบ้านเค้า 1 ชาม อร่อยดีเส้นเค้าจะเหนียวนุ่มกว่าบ้านเรา รสชาติไม่เผ็ดแต่ก็กลมกล่อม พอถึงจี๋หลินลงจากรถไฟวูบแรก โหเย็นสะใจจริงๆ พอออกมาก็มีรถมารับเข้าที่พักโรงแรม 2 ดาวชื่อ อารีรัง ตอนแรกให้กุญแจเรามา 4 ดอกคนละห้อง เราอึ้งเลย ห้องคู่แต่ให้นอนคนเดียวสุดท้ายต้องให้กุญแจสาวเกาหลีไปเพราะเค้าให้มาผิด วันนี้ไม่มีโปรแกรม แต่ไกด์(ชื่อเสี่ยวหวาง) ก็บอกเราว่าไปดูชายแดนจีน เกาหลีเหนือได้โดยนั่งรถไปนอกเมืองแต่ค่ารถคนละ 50Y เอาหละ บอกว่าไม่มีโปรแกรมแล้วทำงี้ เอาวะไปดูก็ได้ พอไปถึงก็เป็นสะพานเหล็กพาดข้ามแม่น้ำ ทาสีครึ่งนึงเป็นสีแดง ครึ่งนึงเป็นสีน้ำเงิน มึงพากูมาดูอะไรเนี่ย ยืนดูได้จากฝั่งอย่างเดียว ถ้าจะไปดูบนสะพานต้องเสียค่าตั๋วอีก แถมข้ามไปก็ไม่ได้ ได้แค่ยืนกลางสะพาน รอนั่งรถกลับด้วยความเซ็ง แต่พี่อ้วน เค้าก็บอกว่าความรู้สึกของคนจีนกับเกาหลีที่มาดู ไม่เหมือนกับพวกเรา ก็จริงเพราะไม่ใช้ประเทศเราหนิเนอะ แต่พอเจอกันทั้งกลุ่มทัวร์ระหว่างนั่งรถสังเกตว่าก็ยังดีที่มีเพื่อนรุ่นเดียวกันเยอะ กลับไปที่ตัวเมืองกินอาหารเย็น ตามโปรแกรมเด็ดของวันนี้ที่ทุกคนในคณะรอคือเนื้อหมา ที่เลื่องชื่อของที่นี่ครับใครมาต้องกินมีขายแทบทุกร้าน แต่งานนี้เราชาวไทยของบายเลยครับไม่ไหว เลยต้องบอกเค้าว่าขอหาร้านกินเอง กลับมาอาบน้ำที่ห้อง ไม่มีน้ำร้อนอีก แต่ห้องเพื่อนมี ต้องไปอาบห้องเค้าอีกแล้วก็เข้านอนโดยเร็วเช้าต้องตื่นตี 4 ครึ่ง ที่ห้องตอนจะนอนมีโทรศัพท์มาโทรมาถามว่าจะนวดมั้ย ด้วยความเป็นคนดีเลยรีบตอบว่าไม่เอา (พอตอบไปแล้วเริ่มสนใจ ล้อเล่นหนะ!)

03-10-05
ตื่นมาด้วยความง่วง รีบแต่งตัวขึ้นรถ ข้าวกล่องบนรถเป็นหมั่นโถว ซาลาเปา ไข่เค็ม เต้าหู้ และแฮมแบบไม่อร่อย สรุปมีซาลาเปาอย่างเดียวที่พอกินได้ นั่งรถไปฉางไป๋ซาน 4 ชม. ช่วงที่จะขึ้นเขาไปดูเทียนฉือ (แหล่งน้ำบนปากปล่องภูเขาไฟฉางไป๋ซาน) มี 2 แบบคือเดินเองหรือ นั่ง 4wd ขึ้นนั่งรถ 80Y เสี่ยวหวางบอกเวลาน้อยนั่งรถเลยจะมีเวลาดูข้าวบนเยอะกว่าเอาตามนั้น คันละ 6 คน ไปกับพี่อ้วนกับแฟนเค้า เสี่ยวหวางเล่าให้ฟังว่ามีความเชื่อว่าในทะเลสาปมีเนซซี่ด้วย ไอ้ที่เหมือนไดโนเสาร์หนะไม่รู้ใครเห็นคนแรก สงสัยโปรโมทการท่องเที่ยวแล้วใครมาแล้วได้ดูนับว่าโชคดีมากเลยเพราะอากาศส่วนใหญ่จะมีเมฆ หมอก บางทีขึ้นไม่ได้ แล้วทัวร์จากเมืองไทยก็ไม่มีเพราะมาแล้วไม่แน่ว่าจะได้ดูหรือเปล่าเลยไม่มีใครกล้าจัดมาลงเดี๋ยวโดนด่า แต่วันนี้เรามาอากาศดีมากเลยเพราะฟ้าโปร่ง ข้างบนสวยมาก หนาวมาก และลมแรงมาก ถ่ายรูปลำบากมากเพราะทรายจะเข้าตา ลืมแว่นกันแดดไม่น่าเลยแต่ก็ยังทนถ่ายมาได้บ้างลงมาช้าไป 10 นาทีเพราะติดลม กลับลงมากินข้าวเที่ยงที่รถ เป็นข้าวกล่องเหมือนเดิมแต่อาหารนี่สิเอากูอีกแล้ว พริกหยวกผัดเศษหมู กูละเซ็ง ต้องโดนเองแล้วจะรู้ กินเสร็จไปดูน้ำตกกับบ่อน้ำร้อน เลยซื้อ Postcard เป็นที่ระลึกมา 1 ชุด น้ำตกก็โอเคเป็นน้ำตกที่ไหลลงมาจากเทียนฉือ แต่บ่อน้ำร้อนนี้ไม่ไหวไม่สวยเลย แต่ไข่ต้มที่นี่ขายดีมากเลย ผิดกับที่บ้านเรา พอเสร็จมันก็พาเราไปดูสวนกวาง (ชื่อเขียนไว้) แต่จริงๆเป็นกรงขังกวาง ให้เราเข้าไปดูพอดูออกมาเค้าก็ให้เราเข้าไปดูยาบำรุงที่ทำจากเขากวาง แล้วก็มี ยาบำรุงจากส่วนต่างๆ ของกวางท่าจะดังมากมีหัวกวางสต๊าฟให้ดูด้วยว่าทำมาจากกวางจริงๆ แต่เราไม่ไหว ตะกี๊ให้ดูแบบเป็นๆ แล้วให้มาดูแบบนี้ขอบาย งานนี้ไม่มีถ่ายรูป หลังจากกวางก็พาเรามาแวะเข้าห้องน้ำ จุดนี้ก็มีขายผลผลิตจากผึ้งไม่รู้ว่าทำไมมันเป็นเม็ดๆ แต่ก็มีแบบน้ำเหมือนกันไม่รู้แบบเม็ดใช้ยังไง แต่ไอ้นี่แวะทุกจุดขายของเลยนะ นั่งรถต่อไปเรื่อยๆก็แวะอีกที่คราวนี้เป็นโสมบ้างคนแก่ก็ชอบกันซะเหลือเกินดูกันไม่เลิกเลย กะจะดูเหมือนกันว่ามันจะแวะซะกี่ที่ นั่งรถไปต่อเวลาประมาณ 1 ทุ่มแล้วเริ่มหิว โปรแกรมต่อไปเป็นการไปดูการแสดงของชนพื้นเมืองของที่นี่เข้าไปเค้าก็ให้เรานั่งโต๊ะกลม เอาละได้กินพร้อมดูการแสดงแน่ๆ ซักพักก็มีอีกคณะมาดูด้วยการแสดงก็โอเคเกือบน่าสนใจใช้ได้ดูไปเรื่อยอาหารก็ไม่มาซะที พอผ่านไปซักพักก็การแสดงผ่านไปประมาณ 3 ชุดเค้าก็เรียกพวกเราออกมาจากร้านให้ขึ้นรถ อ้าวเฮ้ย ไม่ได้กิน ถามเค้าเค้าบอกว่าจะกลับไปกินที่จี๋หลิน นั่งรถกลับไปอีก 2 ชม. แม่เจ้าถึง 3 ทุ่ม เป็นอาหารเกาหลี มื้อนี้จ่ายเองเค้าแค่พามาลงเฉยๆ แต่ก็ยังดีที่ไม่มีเนื้อหมา เราก็สั่งเต็มคราบเลย คนอื่นกินกันเสร็จหมดแล้วเหลือกลุ่มเรากลุ่มเดียว ต้องเรียกเสี่ยวหวางมากินด้วย กลับที่พักวันนี้เป็นโรงแรมใหม่เป็นโรงแรม 4 ดาวก็เตรียมอาบน้ำจังหวะทันใดนั้น เพื่อนก็มาเคาะประตูบอกว่าไปเที่ยวกันเปล่า อ้าวเฮ้ยไปก็ไปไม่เหนื่อยกันเลยหรือไงพวกนี้ บอกอยากฟังเพลง ร้านแรกเข้าไปกำลังจะเตรียมปิด ที่นี่เที่ยงคืนก็เตรียมปิดกันแล้วเลยกะว่าซื้อไปกินที่ห้องก็ได้ซื้อโซจูดีกว่า (เหล้าขาวของเกาหลีเหมือนวอดก้า เพื่อรักชาวเกาหลีเคยเอามาให้ลอง) ซื้อเสร็จพอจะเดินกลับ พอเดินไปเจออีกร้านนึง ร้านนี้ใหญ่ก็เลยเข้าไปดู สั่งไม่ค่อยเป็นรู้ว่าสั่งไป 3 อย่างนึกว่าไม่เยอะที่ไหนได้มากัน 3 ขวดใหญ่เลยนั่งฟังไปได้ซัก 1 ชม.มั้ง คนก็เหลือแค่ 2 โต๊ะ บรรยากาศร้านเหมือน RCA ย้อนไปซัก 7 ปีได้ แนวเพลง Dance กระจาย ในที่สุดก็กินไม่หมดโชคดีที่ยังไม่เปิดแบกกลับ 1 ขวดพร้อมกับที่ซื้อมาจาก Supermarket อีกไปให้เสี่ยวหวางพรุ่งนี้คงดีใจแย่

04-10-05
ตื่น 7.30 มากินอาหารเช้าที่โรงแรมจัดไว้ นึกว่าจะได้กิน ABF (American Breakfast) ซักมื้อนะเนี่ย ที่ไหนได้เป็นบุฟเฟ่ต์แบบอาหารเกาหลีซะนีเกินความคาดหมายจริงๆไม่อร่อยเลย ก่อนออกถ่ายรูปหน้าโรงแรมไว้หน่อย วันนี้เค้าจะพาไปซื้อของ แต่พอไปถึงกลับเป็นห้างกลางเมือง นึกว่าจะได้ของที่ระลึกที่ไหนได้ซื้ออาหารไว้กินบนรถไฟแทน รีบเขียน Postcard ลายมือแย่นิดนึงนะ เสี่ยวหวางเลี้ยงปลาหมึกปิ้งพี่น้องชาวไทย (Taiguo tongbao คำที่มันเรียกพวกเราตลอดงาน)ด้วยมันบอกที่นี่อร่อยสุด ก็จริงของมันอร่อยจริงที่ปักก่งไม่ค่อยอร่อยที่นี่เข้มข้นเผ็ดสะใจ แล้วก็ไปสถานีรถไฟเพื่อขึ้นรถกลับ ระหว่างที่เสี่ยวหวางไปเอาตั๋วมันให้เรานั่งอบอยู่ในรถตากแดดปิดแอร์ ทนไม่ไหวลงไปข้างล่างหาที่ยืนดีกว่า ก่อนขึ้นรถไฟก็มาการแลกเบอร์ ขอ Email ถ่ายรูปรวม พอได้ขึ้นรถไฟที่นั่งที่เสี่ยวหวางจัดให้พี่น้องชาวไทยได้สะใจมาก 4 คนอยู่เตียงกลางหมด ไม่มีที่บนพื้นดินให้เลยต้องเบียดเบียนพี่อ้วนอีกเพื่อที่จะเล่นหมากรุก เรานั่งเขียนไดอารี่อยู่หันไปมองสาวเกาหลีเล่นไพ่ เค้าก็เลยชวนให้เล่นด้วยกัน เราก็เลยเล่นกะเค้าหน่อย เกมก็สนุกดีมีเกมแบบที่ใครได้ 4 ใบเหมือนกันก่อนชนะ na tu set (1 2 3) แล้วก็เกม One card ถ้าเลขเหมือนหรือดอกเหมือนก็ลงได้ ถ้าลง Jocker คนต่อไปหยิบ 5 ใบ, A หยิบ 3 ใบ, K ลงได้อีกใบดอกเดียวกัน, Q ย้อนกลับ, J ข้าม 1 คน, 7 เปลี่ยนดอกได้, 2 หยิบ 2 ใบ เราก็ไม่รู้จะคุยกับเค้าเรื่องอะไรก็เลยคุยกับเค้าเรื่องหนังเรื่อง il’mare ชื่อภาษาเกาหลีคือ Siworea หมายความว่า 10 เดือนแห่งความรัก แล้วก็ถามเรื่อง Fullhouse ซักพักก็เหนื่อยพักผ่อนกันเลยถามว่าพวกเค้าชอบโซจูกันหรือเปล่าเราเคยกินแล้วชอบ เค้าบอกว่าชอบมากเลยบอกว่าตอนนี้เรามี 1 ขวดเดี๋ยวกินข้าวเย็นเสร็จเอามาแบ่ง เค้างงใหญ่เลยแต่ก็ดีใจกันใหญ่ถึงแม้จะน้อยไปก็ตาม แล้วก็ไปกินข้าวเย็นวันนี้พี่อ้วนแนะนำว่าไปกินที่ตู้เสบียงได้ เลยเดินไปดูอยู่ตู้หมายเลข 7 อาหารก็แบบจีนๆ แล้วก็ลองซื้อเหล้าขาวของจีนมาดู ขวดเล็กขวดละ 4Y เอง ทำไมถูกอย่างนี้เนี่ยถ้าขายบ้านเรา มันต้องเมากันทั้งวันแน่เลยเพราะแรงมาก 56 ดีกรี เกิดมาไม่เคยเจอเลยไม่กล้ากินหวะ แล้วก็เอาสุราไปให้นารีรับประทานหลังจากที่ให้เค้ารอมานาน พวกเกาหลีบอกว่าที่เราซื้อมาเป็นของปลอม เหมือนมากต่างกันแค่ขีดเดียวบนป้าย พวกเค้าทึ่งมากถ่ายรูปเก็บไว้เลยแล้วพอลองกินก็ไม่เหมือนเลยไม่ค่อยอร่อยแต่ก็เอา การกินเหล้าเค้าก็มีวิธีเล่นของเค้านะว่าใครแพ้กินเหล้า ชื่อเกม Baskin Robin คือแต่ละคนนับเลยได้ตั้งแต่ 1-3 เลขเรียงกันไปเรื่อยถ้าใครนับหมายเลย 31 ต้องกินเหล้า (ไม่รู้ว่าทำไมต้อง 31) เล่นไปก็ผลัดๆกันโดนไปเรื่อยเราโดนเยอะแฮะ เค้าเทมาให้เราเยอะมากกินไม่หมดกลัวเมา เค้าบอกให้เพื่อนช่วยก็ได้แต่ต้องให้เพื่อนสั่งทำอะไรซักอย่าง ร้องเพลง เต้นก็ได้ มันสั่งให้เราร้องเพลงเกาหลีครับท่าน เพลงที่แวบเข้ามาในหัวคือเพลงในเรื่อง fullhouse ที่นางเอกเต้นท่าประหลาด พอร้องมั่วมาประโยคเดียวเท่านั้นแหละ สาวเกาหลีร้องได้ทุกคนเลยสบายเลยแถมเค้าเต้นด้วย ท่าเหมือนเลย เราก็เลยถามความหมายกับถามว่าทำไมเต้นกันได้เค้าบอกเด็กๆ ต้องร้องทุกคน (คงเหมือนเพลงช้างบ้านเรามั้ง) รอดไป พอหมดขวดก็หลับสบายเลยทีนี้

05-10-05
ตื่นมาก็ตอน 6 โมงกว่าตื่นมานั่งซดมาม่าของเพื่อนเพราะของเราหายไปไหนไม่รู้หล่นหาย สุดท้ายก่อนจากกันเราก็ทำการถ่ายรูปรวมอีก 1 รอบ พอกลับมาหารถยากมาไม่มีใครยอมไปแบบมิเตอร์มันจะเหมาราคาแพงเหมือนบ้านเรา เลยตัดสินใจนั่งรถไฟใต้ดินกลับมาแทน พอถึงก็มากินข้าวเที่ยงที่มหาลัย

เฉิงเต๋อ (เที่ยววัด และพระราชวังหลบร้อน)

29-10-05
เราออกเดินทางจากห้องพักตอนเช้าเวลาตี 5 ครึ่งต้องมาปลุกคนคุมตึกให้มาเปิดประตูให้ เค้าก็ออกมาถามด้วยความง่วงว่าเราจะไปไหนเราก็บอกไปว่าไปต่างจังหวัดเค้าก็เปิดให้โดยดี แล้วเราก็ไปสถานีขนส่งเพื่อซื้อบัตร คนละ 47Y เราออกเดินทางตอน 6.20 สภาพรถแย่มากเลย แถมคนนั่งมารยาทก็แย่อีก มันเล่นสูบบุหรี่ในรถกันแบบมันส์ไปเลย เราทนไม่ไหวจนต้องเปิดหน้าต่างถึงหนาวก็ต้องทน กว่าจะถึงก็ประมาณเที่ยงเข้าโรงแรมโรงแรมก็ดันอยู่ในช่วงปิดปรับปรุงส่วนทางเข้าอีกชีวิตนึงมาครั้งนึงก็ดันปิดซ่อมอีกอะไรจะโชคดีขนาดนั้นสงสัยต้อนรับโอลิมปิกเช่นกัน แต่โรงแรมนี้ทำเลดีมากเลยอยู่ตรงข้าม Bishushanzhuang พอดีเลยแถมหันหน้าเข้าหา Bishushanzhuang เลยเส้นใหญ่มากเพราะเป็นของรัฐบาลคงเอาไว้รับรองแขกต่างประเทศ แล้วไปกินข้าวเที่ยงด่วนเลยเพราะเวลามีน้อย วันนี้อากาศก็ดันไม่ค่อยดี เราเลยคิดเปลี่ยนแผนดีกว่าวันนี้ไปเที่ยวจุดที่ไม่สำคัญก่อนแล้วพรุ่งนี้มีเวลาตั้งแต่เช้าค่อยมาเที่ยว Bishushanzhuang ดีกว่าวันนี้เราไปเที่ยววัด Puning shi ก่อนวัดนี้เป็นวัดหนึ่งใน 8 วันที่สร้างรอบ Bishushanzhuang สร้างด้วยความเชื่อแบบลามะที่นี่ก็ใช้บัตรนักศึกษาไม่ได้ต้องจ่ายเต็ม 40Y วัดนี้เป็นการสร้างเพราะการแก้ปัญหาด้านการเมือง เรื่องการรวมชนกลุ่มน้อย เพื่อแสดงให้เห็นว่าไม่ลบหลู่ศาสนา ที่สำคัญของวัดนี้คือมีรูปแกะสลักไม้ Guanyin ที่ใหญ่ที่สุดในโลก ใหญ่จริงๆ ในวัดจะมีคนเอาแม่กุญแจมาล๊อกไว้เยอะเลย เพราะเชื่อว่าจะล๊อกเอาความไม่ดีเอาไว้ที่นี่ ตอนแรกคิดว่าไม่ค่อยคุ้มเลยแต่พอไปดูห้องจัดแสดง เห็นภาพที่ก่อนการบูรณะแล้วยอมให้มันเถอะทำเยอะจริงๆ เค้าทำการบูรณะได้ดีมากเลยไม่รู้สึกเลยว่าทำใหม่ประเทศเราน่าจะเอาแบบอย่างบ้าง ตอนเย็นไปเดินเล่นในตัวเมืองแล้วก็ไปกินข้าวก็อาหารจีนหนะแหละไม่แพงดีตกคนละ 10Y แล้วก็กลับเข้าห้องเพราะต้องรีบไปทำการบ้านเขียนเรียงความเรื่องไปเที่ยวต่างจังหวัดคราวก่อนส่งวันจันทร์เดี๋ยวไม่ทัน กว่าจะทำเสร็จก็ปาไปเที่ยงคืน

30-10-05
ไปเที่ยวปี้สู่ซานจวงตั้งแต่เช้าเลย 9โมงก็เข้าเลยค่าเข้าคนละ 60Y ไม่สามารถลดได้อีกแล้วครับท่าน แต่ก็ต้องเอาละหละ พอเข้าไปข้างในจะมีการแบ่งเป็น 2 loop เป็นรอบเล็กและรอบใหญ่ รอบเล็กก็ดูเฉพาะในส่วนวังพักตากอากาศ ส่วนที่พัก ส่วนรอบใหญ่ก็จะเป็นจุดต่างๆที่เป็นศาลาพักผ่อนที่กระจายอยู่ทั่งบริเวณทั้งบนเขาสูง ต่ำ บางอันก็ยังเห็น บางอันก็เหลือแต่ตอแล้วเราก็ตัดสินใจว่าต้องรอบใหญ่เลย รอบใหญ่จะมีรถบริการคนละ 40Y แต่เราไม่สนครับเดินเอาดีกว่า แต่ระยะทางไกลจริงๆครับ ไม่ฟิตตายได้ เดินขึ้นเขาลงเขา จุดที่เป็นจุดแนะนำก็ไม่ค่อยน่าสนใจเท่าไหร่มีแต่วิวที่สวยหน่อย ตัวอาคารไม่ไหว เดินกันเหมือนกำลังจะพยายามทำลายสถิติอะไรซะอย่าง ป้ายที่นี่ไม่ค่อยดีอีกต่างหาก มีช่วงนึงเดินไปตามป้ายทางแยกแต่พอเข้าไปก็ไม่มีอะไร พอเห็นไกลๆมีอาคารพี่ติ๊กกะลุยป่าตัดไปเลย โชคดีที่ห้ามไว้ถ้าไปตามนั้นไม่รอดแน่เพราะชันมากและลึกมาก กว่าจะเดินมาบรรจบกับรอบเล็กได้แทบแย่ แต่ก็ตามเวลาที่ตั้งไว้คือ 12.30 แล้วก็มาดูอาคารในรอบเล็ก และ สวนสาธารณะในส่วนนี้มีทั้งทะเลสาบและต้นไม้เยอะมาก สวยสุดๆ พอออกมาเราก็รีบไปเอากระเป๋าที่โรงแรมแล้วออกเดินทางไปสถานีรถไฟ พอขึ้นรถไฟโดนคนจีนมามั่งที่อีกมันจะเล่นไพ่กัน 4 คนเลยมาเอาที่เรา เราก็ต้องต่อรองกับมันจนได้ที่นั่งด้วยกันมาจนได้ คนจีนเวลานั่งรถไฟก็แย่ กินเม็ดทานตะวันแล้วก็ทิ้งเปลือกไว้กระจายเต็มพื้นไปหมด ให้พนักงานมาเก็บตลอด กลับมาถึงก็ไปกินข้าวกัน กินเยอะสุดเพราะข้าวเที่ยงก็ไม่ได้กิน กินแค่ขนมรองท้องในรถไฟ เพราะเที่ยวจนหมดเวลา กลับมาเลยกินแหลกสั่งข้าวผัดกันคนละจานเปลแบบพูน กับข้าวอีก 3 อย่างแล้วก็เนื้อแพะย่างอีก คนละ 5 ไม้อิ่มแล้วค่อยอารมณ์ดีหน่อย

ความรู้สึกจากการใช้ชีวิตที่เมืองจีน

สาวภาคเหนือและสาวภาคใต้

เมืองจีนมีอาณาเขตกว้างใหญ่ทำให้คนที่นี่ก็มีความต่างกันไปตามสภาพภูมิประเทศ เช่นมีคนกล่าวไว้ว่า”สาวจีนภาเหนือเข้มแข็งหนักแน่นดังขุนเขา ส่วนสาวจีนทางภาคใต้อ่อนช้อยนุ่มนวลดังสายน้ำ” เพราะภาคเหนือของประเทศจีนภูมิประเทศเต็มไปด้วยภูเขา ภูมิอากาศค่อนข้างหนาวจนถึงหนาวจัด ทำให้ผู้หญิงภาคเหนือ(เช่นปักกิ่ง) มีความเข้มแข็ง อดทน เพราะต้องเผชิญกับความยากลำบากมากมาย ส่วนภาคใต้ของจีนภูมิประเทศส่วนใหญ่เป็นที่ลุ่ม มีแม่น้ำ ทะเลสาบ สวยงามมากมาย เช่นซูโจว หางโจว กุ้ยหลิน ฯลฯ ภูมิอากาศก็ไม่หนาวเท่าทางภาคเหนือ อากาศค่อนข้างเย็นสบาย ทำให้ลักษณะของผู้หญิงจีนทางใต้ (เช่นเซี่ยงไฮ้) ก็ มีความอ่อนช้อย อ่อนหวาน ตามลักษณะทางภูมิประเทศ คนที่เคยไปมาทั้งสองที่ส่วนใหญ่ก็ให้ความเห็นแบบนี้เหมือนกัน ถ้าอยากพิสูจน์ละก็คงต้องไปเห็นกับตาตัวเองนะครับ

มารยาทบนโต๊ะอาหารของจีน ญี่ปุ่น เกาหลี (เท่าที่รู้จากการเรียนที่เมืองจีน)

  • การรินน้ำชาริมไม่เต็มจอก เนื่องจากน้ำชามีความร้อนจะทำให้หยิบดื่มลำบาก
  • การรินเหล้า หรือเบียร์จะรินจนปริ่มเต็มแก้ว
  • การรินชาให้ตัวเองคนจีนจะถือว่าไม่ค่อยเหมาะสม เพราะโดยทั่วไปถ้าเครื่องดื่มหมดคนที่เห็นควรเป็นคนรินให้ เพื่อเป็นการให้เกียรติกัน แล้วเวลามีคนรินเครื่องดื่มให้บางทีคนที่รับก็จะเอานิ้วเคาะที่โต๊ะเพื่อเป็นการขอบคุณ ที่มาคือสมัยก่อนฮ่องเต้เวลารินเหล้าให้เหล่าขุนนาง แม่ทัพ พวกขุนนางก็จะต้องคุกเข่าก้มกราบกับพื้น มาในสมัยนี้ก็ลดเหลือแค่การเคาะโต๊ะเพื่อความสะดวกถ้าเจอก็ไม่ต้องแปลกใจนะครับ
  • เวลาเริ่มต้นรินเหล้าให้ทุกคน มักจะรอให้รินจนครบทุกคนแล้วค่อยชนแก้วแล้วดื่มพร้อมกัน (อย่าเผลอดื่มก่อนหละ)
  • อันนี้จากเพื่อนๆชาวญี่ปุ่น(โดนมากับตัว) ถ้าเวลาเหล้าไม่หมด แล้วเค้าทำท่าจะรินให้แต่ทำท่ารอ หมายความว่าต้องดื่มให้หมดก่อน แล้วค่อยรินเพิ่ม
  • เวลาคีบอาหารให้คนที่มีความอาวุโสจะใช้อีกด้านนึงของตะเกียบคีบให้(แต่ยังไม่เคยเห็นนะ แค่เค้าบอก)

สิ่งต้องระวัง

  • เสลด เพราะที่นี่จะมีอยู่ทุกที่ ช่วงหน้าหนาวจะแห้งแข็งเป็นน้ำแข็ง คงเหมือนกับต้องเดินหลบขี้หมาที่เมืองไทย
  • การเดินถนน เพราะที่นี่การเดินรถสวนทางกับบ้านเรา เพราะที่นี่เป็นรถเป็นแบบพวงมาลัยซ้าย เลยทำให้มีเลี้ยวขวาผ่านตลอด เวลาเดินข้ามถนนต้องระวังให้ดี เพราะคนที่นี่ขับรถไม่หยุดให้คนนะ ต้องหลบเอาเอง
  • ซื้อของต้องระวังแบงค์ปลอม โดยเฉพาะถ้าต่อราคาเยอะๆ เพราะมักจะมั่วเอาแบงค์ประเทศอื่นที่มีสีเดียวกันมาให้แทน(เคยโดนแบงค์ยี่สิบรัสเซียมาสองใบ เศร้าเลยนึกว่าจะได้ของถูก) หรือไม่ก็มั่วเอาแบงค์ 5เหมา มาให้แทนแบงค์ 5 หยวน
  • อย่าไว้ใจห้องน้ำเวลาไปเที่ยวต่างจังหวัดเข้าซะตั้งแต่ที่พัก แต่ก็อย่าลืมพกกระดาษไว้ยามฉุกเฉิน ห้องน้ำโดยทั้วไปผู้หญิงคงรับไม่ค่อยได้ถ้าเจอแบบราง แบบหลุม หรือแบบไม่มีประตู ผู้ชายคงพอทนกันได้ ถ้าอยู่ในตัวเมืองที่เจริญพอสมควรจะไม่ค่อยเจอปัญหา เพราะมีที่ให้เข้าได้เยอะแหล่งที่ไว้ใจได้ก็มีเคเอฟซี แมคโดนัล จะสะอาดเพราะมีคนทำความสะอาดตลอดเวลา
  • กลิ่นตัวและกลิ่นปาก อันนี้ไม่รู้ว่าสาเหตุแท้จริงมาจากอะไร คาดว่ามาจากเสื้อกันหนาวที่ไม่ได้ซักเป็นเวลานาน บวกกับการนิยมกินอาหารประเภทหม้อไฟ (คล้ายสุกี้) เนื้อย่างต่างๆ ถ้าจะเข้าแหล่งที่มีความแออัดเช่นรถไฟใต้ดิน อาจเตรียมยาดม เพื่อป้องกันการวิงเวียน
  • เวลาถามทางคนจีนควรถามหลายๆคนเพื่อเป็นการยืนยัน เพราะบางคนก็ไม่รู้แล้วมั่ว (อย่าเชื่อคำว่า”น่าจะ,คิดว่า”ในเมืองจีน)

นิสัยคนจีน (ที่อาจพบเจอได้ทั่วไป)

เดินทางต่างแดนก็ควรจะรู้เขารู้เราไว้บ้างทั้งด้านบวกและลบ จะได้เตรียมตัวเตรียมใจ นิสัยของคนจีนเป็นอย่างนึงที่ควรจะรู้ไว้บ้าง แต่ก็อย่างที่บอกไม่มีอะไรที่เราทนไม่ได้หรอก แล้วก็ไม่ได้เป็นกันทุกคน ก็ถือว่าเป็นเรื่องแปลกในชีวิตละกัน

  • ไม่เข้าคิว บางบุคคล แต่บางที่ก็เข้านะเดี๋ยวนี้ดีขึ้นเยอะแล้ว
  • ยังมีบางคนที่ยังชินกับการเข้าส้วมแบบเปิดประตูทิ้งไว้ ก็ไม่รู้จะทำยังไง ทำเป็นมองไม่เห็นละกัน
  • ไม่ยอมชิดในทั้งเวลาขึ้นรถเมล์และรถไฟใต้ดิน
  • บ้วนเสลดทุกที่ (อันนี้รู้อยู่แล้วหลบให้ดีแล้วกันทั้งแบบเปียกและแบบแข็ง)
  • ไม่ลุกให้เด็ก สตรี และ คนชรา แถมเวลาประตูรถไฟฟ้าเปิด คนจะกรูเข้าไปในรถอย่างรวดเร็ว แล้วก็แย่งกันนั่งเก้าอี้ ดูแล้วเหมือน”เก้าอี้ดนตรี” ตลกดีเหมือนกัน
  • แสดงความรักในที่สาธารณะโดยไม่เกรงใจใคร (อิจฉาเค้าน่ะ)
  • ตรงเวลา เรื่องนี้นับถือเลย ตรงจริงๆ ไม่มีคำว่าก่อนและหลัง โดยเฉพาะเวลาออกรถ ทั้งรถไฟ และรถทัวร์
  • ระเบียบวินัยเค้าก็มีเยอะนะ เช่นวลาขับรถไม่เคยเห็นคนกลับรถตามใจเลย (สงสัยค่าปรับแพง อ๋อ อีกอย่างที่นี่มีกล้องโทรทัศน์วงจรปิดทุกถนน ตำรวจจราจรเลยไม่ต้องใช้ ถ้าทำผิดก็เจอใบสั่งตอนต่อทะเบียนแน่นอน)
  • ถ้าสนิทกันเป็นเพื่อนเค้าจะดูแล เอาใจใส่ ช่วยเหลือเป็นอย่างดี

การเดินทางไกล (เกร็ดเล็กๆน้อยๆเรื่องการซื้อตั๋วรถไฟ รถทัวร์ และเครื่องบิน)

รถทัวร์ อันนี้ไม่มีตั๋วล่วงหน้าต้องมาซื้อวันที่จะออกเดินทาง มาซื้อตั้งแต่เช้าชัวร์สุด

  • รถไฟ คนส่วนใหญ่นิยมเดินทางด้วยวิธีนี้ เพราะถูก ปลอดภัย และตรงเวลา แต่ใช้เวลานานจึงเหมาะกับเดินทางที่ไม่ไกลมาก มีข้อควรระวังเล็กน้อย เพราะ การซื้อตั๋วรถไฟที่เมืองจีนจะไม่สามารถซื้อล่วงหน้าได้นานๆ ซื้อล่วงหน้าได้แค่สามวัน ดังนั้นในช่วงเทศกาลก็ลำบากหน่อย ถ้าไม่อยากลำบากมากก็ซื้อผ่านบริษัททัวร์ หรือตัวแทน แต่ราคาก็จะเพิ่มขึ้นเล็กน้อย ถ้าเป็นช่วงเทศกาลที่คนเดินทางเยอะมาก เช่นตรุษจีน ค่าตั๋วจะเพิ่มประมาณ 50 หยวน(เหมือนซื้อตั๋วผี) ตั๋วกลับก็ต้องไปซื้อที่ปลายทางทำให้เกิดความลำบากพอสมควร เพราะมีครั้งนึงไม่มีตั๋วกลับต้องรอไปอีกวัน ต้องเตรียมการให้ดี
  • เครื่องบิน อันนี้คงแนะนำให้ดูในเวปไซด์ก่อนเพื่อความประหยัด เพราะถ้าจะเดินทางไปเที่ยวต่างเมือง บางช่วงเวลาตั๋วเครื่องบินจะลดราคาแบบสุดๆ บางทีลด 50% เลยหรือบางทีมากกว่านั้น ถ้าหาดีๆ บางทีถูกกว่ารถไฟอีก แต่ต้องเตรียมการล่วงหน้านานซะหน่อย เพื่อหาช่วงเวลา แล้วก็ต้องดูเงื่อนไขด้วยนะ เพราะว่าถ้าคืนหรือเปลี่ยนเวลาเนี่ยโดนคิดเพิ่มแน่

All Rights Reserved, Copyright © 2001
Tel : (66) 02-229-4477-8, 09-790-7744, 06-627-1751 Fax : (66) 02-229-4479 E-mail : [email protected]