HOMETOWN & UNIVERSITYNEWS & INFORMATIONCOURSESGALLERYFORUM 4UFAQs
เที่ยว "หัว" ไหน ไม่สนุกเท่าเที่ยว "หัวซาน"

เมื่อสองปีที่แล้วฉันมีโอกาสได้ไปเรียนภาษาจีนที่เมืองจีน เนื่องจากฉันมีเชื้อสายจีนอยู่เต็มตัว ไม่ได้เป็นลูกครึ่งอย่างที่ใครเค้าเป็นกัน ฉันเป็นหมวยแท้ ๆ ที่อยากจะเรียนรู้และเข้าใจในวิถีชีวิต ภาษาและวัฒนธรรมของเผ่าพันธุ์ตนเอง ดังนั้นหลังจากจบมหาวิทยาลัย ฉันจึงตัดสินใจขอป๊าม๊าไปเรียนต่อภาษาจีนที่เมืองจีน เมืองที่ฉันเลือกที่จะไปใช้ชีวิตอยู่คือ เมืองเทียนจิน หรือเทียนสินที่หลาย ๆ คนรู้จัก

เทียนจินเป็นเมืองท่าที่ใหญ่แห่งหนึ่งของประเทศจีน อยู่ไม่ห่างจากเมืองหลวงปักกิ่งมากนัก การเดินทางก็สะดวก และเป็นเมืองที่สงบแห่งหนึ่ง จากคุณสมบัติที่ตรงตามใจพอดี จึงไม่ลังเลที่จะเลือกมาเรียนที่นี่ เมื่อมาเรียนที่เทียนจิน เพื่อนร่วมห้องเป็นเพื่อนชาวต่างชาติทั้งนั้น ทั้งไทย เกาหลี ญี่ปุ่น อินโดนีเซีย ดังนั้นเมื่อมีโอกาสเมื่อไหร่ คนชอบท่องเที่ยวอย่างฉัน มักจะชวนเพื่อน ๆ ไปเที่ยวด้วยกันเสมอ และแล้ววันหนึ่งในปีที่แล้ว (ประมาณปี 2546) ขณะที่ใกล้จะปิดเทอมหน้าร้อน (ราวเดือนกรกฎาคม) ในห้องเรียนของฉันก็พูดถึงปิดเทอมหน้าร้อนนี้จะไปเที่ยวที่ไหนดี บางคนจะไปไกลถึงคุนหมิง แต่ใกล้สำหรับเดินทางจากประเทศไทย บางคนจะไปชิงเต่าบ้างล่ะ ไปเซียงไฮ้บ้างล่ะ ก็แล้วแต่นิสัยการชอบเที่ยวของแต่ละคน ว่าจะเลือกเที่ยวแบบไหน

พอพูดถึงเรื่องเที่ยว ฉันนึกถึงภูเขา เมืองจีนเป็นอีกประเทศหนึ่งที่มีทิวทัศน์ภูเขาแปลกจากที่อื่น เห็นได้จากรูปภาพวาดจีนที่เขาจะสูงชันอยู่ท่ามกลางเมฆ ต้นไม้ก็จะไม่ใช่ป่าแบบเมืองไทย คิดถึงรูปภาพทิวทัศน์จีนที่เคยเห็นก็ชวนให้หลงใหลอยากจะเข้าไปสัมผัส.... กลับมาเข้าเรื่องเดิม อาจารย์ก็พูดถึงภูเขาที่มีชื่อเสียงอยู่หลายลูก ทั้งภูเขาไท้ซาน ภูเขาหวงซาน ภูเขาอู่ไถซาน พอพูดถึงภูเขาหัวซาน อาจารย์ก็ทักว่า “อย่าไปเลย ภูเขาหัวซานเป็นภูเขาที่ชันมาก อันตรายสุด ๆ แต่ความงามก็สวยจับใจเชียวนะ แต่ก็ขอห้ามไว้ก่อนเถอะ ว่าอย่าไปเชียวนะ” พอฉันได้ยินอาจารย์พูดดังนี้ปั้บ ฮอร์โมนของความอยากรู้อยากเห็นก็พุ่งกระฉูดขึ้นมาทันที “หัวซาน ! หัวซานที่เวลาดูหนังกำลังภายในแล้วชอบมีคนพูดว่าข้าเป็นศิษย์สำนักหัวซาน ใช่ที่นี่หรือเปล่า ?... ” “แล้วที่ว่าอันตรายมาก ชันมากเนี่ย มันชันซักขนาดไหนนะ อยากรู้จัง”

จากข้อสนทนาในวันนั้น เป็นสิ่งจุดประกายให้ปิดเทอมหน้าร้อนคราวนี้ ฉันกับเพื่อนเกาหลีอีกคนหนึ่งจะไปพิชิตยอดเขาหัวซานให้จงได้ เอ๊ะ! อย่าแปลกใจไปว่าทำไมมีกันแค่สองคน แล้วคนอื่นล่ะ จริงๆแล้วเราสองคนพยายามชวนเพื่อนคนอื่นอยู่เหมือนกัน แต่อย่างว่า....
“หัวซาน มันชันเกินไป ไม่ไหว ไม่ไหว งานนี้ขอบาย”
“หัวซานเหรอ อืม...น่าไปนะ แต่เรากลัวความสูง ไปไม่ได้หรอก”
“หัวซาน ! ทำไมไม่มาชวนเราเร็วกว่านี้นะ เพิ่งไปซื้อตั๋วรถไฟไปเที่ยวเซี้ยงไฮ้ เฮ้อ..เสียดาย”
“หัวซานเหรอ ไม่ได้หรอก ปิดเทอมนี้เราจะกลับประเทศ ปิดเทอมคราวที่แล้ว มัวแต่เที่ยว เลยยังไม่ได้กลับไปเยี่ยมบ้านเลย โทษทีนะ”
สรุปแล้วเหลือเพียงเราสองคนเท่านั้น เราจึงสัญญาเป็นมั่นเป็นเหมาะ ว่าตอนปีนเขา ยังไงก็อย่าทิ้งกันนะ

การสอบปลายภาคก็ผ่านไปพร้อมกับวันที่ฉันกับเพื่อนจะออกเดินทาง ก่อนหน้านี้เราได้ซื้อตั๋วรถไฟจากเทียนจิน-เจิ้งโจว เอ๊ะ ! ทำไมไม่ใช่หัวซานล่ะ อย่าแปลกใจไป คือ เรื่องมีอยู่ว่า จากเทียนจินไปหัวซาน ถ้านั่งรถไฟไปก็ต้องใช้เวลาถึง 1 วันเต็ม ไกลขนาดนี้จะไปเที่ยวเขาหัวซานที่เดียวก็เสียดายแย่สิ แถมตั๋วรถไฟที่จะไปหัวซานก็หายากด้วยสิ ไม่ใช่คนจะไปเที่ยวเยอะหรอกนะ เพราะหัวซานเป็นทางผ่านก่อนถึงเมืองซีอาน ซึ่งเป็นเมืองหลวงเก่า และเป็นศูนย์กลางแห่งหนึ่งของประเทศจีน คนจึงนั่งไปขบวนนี้กันเยอะ และช่วงหลังสอบเนี่ย อย่าให้พูดถึง... นักเรียนจีนจะกลับบ้านกันเป็นแถว ตั๋วรถไฟจึงหายากเป็นพิเศษ ต้องจองกันเป็นอาทิตย์ บางทีก็ต้องใช้บริการบริษัททัวร์จองให้ก็อาจจะเสียค่าน้ำชาประมาณ 10 - 30 หยวน ถ้าไปต่อแถวซื้อเองละก็ อาจจะต้องต่อแถวเป็นวัน ๆ

แต่ ... งานนี้เราสองคนไปยืนต่อสู้ เฮ้ย ! ต่อแถวซื้อตั๋วกันเอง โดยจุดมุ่งหมายของเราจะไปที่เมืองลั่วหยางก่อน แต่ตั๋วรถไฟก็ยังเต็ม เราจึงจองรถไฟไปเจิ้งโจวก่อน แล้วขอหาทางไปเมืองลั่วหยางเอาข้างหน้าละกัน

หวังว่าจะจำกันได้เมื่อปีที่แล้ว ที่ประเทศจีนมีโรคระบาดเกิดขึ้น สถานการณ์รุนแรงมาก และเป็นที่วิตกทั่วโลกเพราะโรคนี้ติดต่อกันง่ายเหลือเกิน ใช่แล้ว ! โรค SARS นั่นเอง ขนาดที่รัฐบาลจีนขอร้องไม่ให้มีการเดินทาง เพราะเนื่องจากจะเป็นการแพร่กระจายของโรคได้ ซึ่งหลังจากสถานการณ์ดีขึ้นแล้ว สามารถควบคุมได้ ดังแต่เวลาเราจะเดินทางไปมณฑลอื่นเมืองอื่น จะต้องมีการกรอกใบรับรองสุขภาพทุกครั้ง ว่าไม่ได้มีอาการลักษณะเข้าข่ายโรค SARS และมีเครื่องตรวจอุณหภูมิในร่างกายทุกสถานีรถไฟ หากใครมีไข้สูงหรืออาการเข้าข่ายโรค SARS ก็จะถูกกักตัว ไม่สามารถเดินทางต่อได้ ดังนั้นการเดินทางของเราในครั้งนี้ต้องรักษาสุขภาพให้ดีที่สุด มิฉะนั้นแล้ว อาจจะไม่ได้กลับเทียนจิน หรืออาจจะไปไม่ถึงเขาหัวซานก็ได้

 

บ่าย 2 โมง ขบวนรถจากเทียนจินไปเจิ้งโจว ออกเดินทาง ส่วนมากจะเป็นเด็กมหาลัย (จีน) กลับบ้านเกิดทั้งนั้น ในขบวนรถจึงคึกคักเป็นพิเศษ ทำให้การเดินทางของพวกเราคึกคักตามไปด้วย เพราะเราจะไปถึงเจิ้งโจวในเวลาตี 3 ซึ่งเราจะต้องเสี่ยงดวงซื้อตั๋วรถไฟไปเมืองลั่วหยางต่อ โดยที่ไม่รู้ว่าจะมีตั๋วหรือเปล่า หรือจะมีรอบกี่โมง .... และแล้ว เมื่อมาถึงเจิ้งโจวพวกเราก็สามารถซื้อตั๋วได้ แต่เป็นแบบไม่มีที่นั่ง แต่ก็เอาเถอะถ้าไม่ไปขบวนนี้ ขบวนอื่นก็ไม่มีที่นั่งเหมือนกัน เราสองคนจึงตกลงนั่งขบวน 7 โมงเช้าไปเมืองลั่วหยาง ระหว่างรอรถไฟที่สถานี ตอนนั้นง่วงเหมือนกันนะ อยากจะนอนแผ่ที่พื้นเหมือนกัน แต่แล้วก็ได้ยินเสียงเหมือนคนกำลังจะคากถุย ก็เลยรีบมองไปทางต้นเสียงนั้น ก็เห็นเด็กผู้หญิงตัวเล็ก ๆ (เน้นตัวเล็ก ๆ เท่านั้น) คากถุยลงพื้นพอดี โอ้โห... เท่านั้นแหละฉันมองตากับเพื่อน เราไปนอนรอนั่งรอที่อื่นดีกว่าเนอะ แถวนี้ท่าทางวิวไม่ค่อยสวย เฮ้อ! จะว่าไปห่วงอนาคตของเด็กจีนเหมือนกัน จริง ๆ แล้วเรื่องคากถุยก็เห็นจนชินอยู่หรอกในประเทศจีน แต่เนี่ยมันเด็กผู้หญิงอายุไม่น่าจะเกิน10 ขวบ ยังทำกันได้ขนาดนี้ คงจะเห็นผู้ใหญ่ทำ เด็กก็เลยทำตาม ... น่าเป็นห่วง

บนรถไฟ ฉันโชคดีพอที่จะขอคนอื่นแบ่งบันที่นั่งได้ แต่เพื่อนของฉันสิ น่าสงสาร ไม่มีที่นั่งต้องยืนตลอดทางจนถึงเมืองลั่วหยาง เมื่อถึงเมืองลั่วหยาง สิ่งแรกที่เราจะต้องทำ คือ ต้องรีบซื้อตั๋วรถไฟไปเขาหัวซานไว้ก่อน มิฉะนั้นจะไม่มีที่นั่งอีก แต่ที่ไหนได้ ตั๋วหายากจริง ๆ ได้ตั๋วแบบไม่มีที่นั่งแบบเดิม เอาเถอะไม่มีที่นั่ง ก็ไม่มีที่นั่ง แค่ 4 - 5 ชั่วโมงเอง ทนเอาหน่อย...
หลังจากนั้นพวกเราก็ไปพักที่ Youth Hostel ในเมืองลั่วหยาง ถือว่าเป็นที่พักที่ใช้ได้เลย คืนนี้จะได้นอนให้เต็มอิ่มเลย แต่กลางวันแบบนี้ต้องออกไปข้างนอกเที่ยวดีกว่า พวกเราก็นั่งรถเมล์ไป Longmen Grottoes พูดถึงสถานที่นี้ UNESCO แต่งตั้งให้เป็นมรดกโลกเลยเชียวนะ ต้องเสียค่าเข้า 60 หยวน และเนื่องจากวันนั้นอากาศร้อนมาก บวกกับการไม่ได้พักผ่อนอย่างเพียงพอ เดินไปเดินมาก็จะหมดแรง จนเพื่อนของฉันเกิดรู้สึกห่วงขึ้นมา

“เนี่ยยังไม่ได้ปีนเขาเลยสักกะขั้น ทำไมหมดแรงแล้วล่ะ”
“ก็แหม! อดหลับอดนอน แถมยังไม่ได้กินข้าวเลย มันก็ต้องหมดแรงเป็นธรรมดานี่นา แต่ก็เอาเถอะ ได้มาเห็นสถานที่ที่ถือเป็นมรดกโลกแห่งหนึ่ง ก็คุ้มล่ะนะ”

ถ้ำที่นี่มีอยู่เยอะจริง ๆ ตอนแรกว่าจะนับแต่ก็ไม่ไหว เยอะเหลือเกิน เลยอ่านคำอธิบายบนบัตรผ่านประตูแทน ที่นี้มีถ้ำเล็กถ้ำใหญ่ตั้ง 2,300 ถ้ำ แถมมีพระพุทธรูปมากกว่า 2,800 องค์ นี่ยังไม่รวมองค์เล็ก ๆ เป็นแสนได้ พระพุทธรูปก็ดูน่าเกรงขามทั้งนั้น มีตั้งแต่เล็กขนาด 2 เซนติเมตร ไปจนถึง 17.14 เมตร พระพุทธรูปเป็นของสมัยถังสักส่วนใหญ่ โดยเมืองลั่วหยางเป็น 1 ใน 7 เมืองหลวงเก่าของจีน จึงไม่ต้องแปลกใจเลย เหตุใดสถานที่นี้จะเต็มไปด้วยประวัติศาสตร์

เช้าวันใหม่ เราออกเดินทางตั้งแต่ตี 5 เพื่อที่จะเดินทางไปพิชิตหัวซาน ...

บนขบวนรถไฟที่ฉันยืนไป ฉันอดไม่ได้ที่จะไม่เล่าถึงชีวิตในรถไฟอันยาวนาน (สำหรับฉันและเพื่อน) ถึงแม้มันจะแค่ 4 ชั่วโมงก็ตาม แต่ก็เป็น 4 ชั่วโมงอันยาวนาน เพราะไม่มีที่นั่งและไม่มีที่ยืน !! ขบวนรถไฟที่เราขึ้นไปเป็นขบวนรถไฟที่เดินทางมาจากที่อื่นเป็นวัน ๆ แล้ว ดังนั้นคนในรถไฟจึงเยอะเป็นพิเศษ อย่าว่าแต่ที่นั่งเลย ที่ยืนยังไม่มีเลย กระเป๋าของพวกเราก็ยังไม่มีที่วาง กะว่าจะวางแอบไว้ใต้ที่นั่ง แต่ที่ไหนได้ ใต้ที่นั่งพื้นนั้น มีคนจับจองอยู่ก่อนแล้ว ใครจะเชื่อว่า ใต้ที่นั่งมีคนคดตัวหลับฝันดีอยู่เชียว เราสองคนจึงไม่สามารถรบกวนคนนอนได้ พวกเราจึงต้องกึ่งยืน กึ่งสะพายเป้

การที่ต้องใช้ชีวิตอยู่บนรถไฟเป็นเวลานาน จึงทำให้รู้จักกับคนจีนบางกลุ่ม ส่วนมากจะไม่เชื่อว่าฉันเป็นคนต่างชาติ เพราะหน้าตาก็บอกแท้ ๆ ว่าเป็นหมวยเมืองจีน ก็ต้องอธิบายกันไปว่า อากง อาม่า ของฉันหอบเสือหมอนใบไปเมืองไทย และที่มีเรื่องขำอีกเรื่องหนึ่งบนรถไฟก็คือ ขณะที่รถไฟจอดตามสถานี ก็เหมือนกับรถไฟในเมืองไทยนั้นแหละ ตามสถานีก็จะมีคนเข้ามาขายของบนรถไฟ ผลไม้บ้างล่ะ ข้าวบ้างล่ะ หรืออาจจะเป็นของกินเล่นบ้างล่ะ แต่ เนี่ยบนรถไฟที่ที่ยืนยังจะไม่มีเลย แต่คนขายก็พยายามสอดตัวเข้ามาขายจนได้ เรื่องที่จะเล่ามีอยู่ว่า มีลุงขายผลไม้คนหนึ่ง เดินมารอบแรกขาย 3 หยวน (ประมาณ 15 บาท) รอบที่สองเดินกลับมาใหม่เหลือ 2 หยวน (ประมาณ 10 บาท) และที่ลดกระหน่ำเข้าไปอีกเมื่อรถไฟกำลังจะออกเหลือเพียง 1 หยวนเท่านั้น (ประมาณ 5 บาท) เห็นใจคนที่ซื้อตอน 3 หยวนจริง ๆ นั่งเคี้ยวหยุบหยิบมองหน้าคนขายอยู่เชียว และเมื่อรถไฟเคลื่อนตัว แต่ลุงคนขายยังอยู่ในขบวนรถ จะฝ่าฝูงชนเดินไปทางออกก็คงจะไม่ทันการณ์ ลุงขายผลไม้ตัดสินใจกระโดดออกทางหน้าต่าง สร้างความตกตะลึงให้ฉันและเพื่อนเป็นอย่างมาก เราต่างมองหน้ากัน ไม่กล้าพูดอะไรออกมา แต่ในสมองฉันมีความคิดหนึ่งพุ่งมาทันที ท่าทางเฉินหลงจะมีคู่แข่งซะแล้ว

เย้ !! ถึงหัวซานแล้ว ที่แรกว่าจะเริ่มปีนเขาเลย แต่ก็ถูกชาวบ้านที่นั้นห้ามไว้ว่า “เวลาบ่ายอย่างนี้เป็นเวลาลงเขา ทางมันแคบ พวกหนูจะขึ้นเขาไปไม่ได้หรอกนะ อันตรายเกิน ที่นี่เค้าปีนกันตอนกลางคืน ถึงตอนเช้าก็ไปดูพระอาทิตย์ขึ้นพอดี” พวกเราคิดไปคิดมาก็ดีเหมือนกัน นอนเอาแรงก่อนดีกว่า ดังนั้นสิ่งแรกที่เราทำเมื่อมาถึงหัวซาน คือหาที่พัก นอน!!
พวกเรานอนกันที่ตีนเขา เนื่องจากราคาถูกกว่าบนยอกเขามากนัก และแล้วก็ถึงตอนเย็น พวกเราออกไปหาอะไรกิน แล้วก็ไปเดินเล่นแถวตีนเขาซักหน่อย และที่นั่นก็มี วัดยู่ฉวน เราจึงเดินเล่นเพลิน ๆ ไปก่อน

5 ทุ่ม พวกเราเริ่มออกเดินทาง โดยต้องซื้อบัตรผ่านประตูคนละ 60 หยวน และอีก 5 หยวน เป็นค่าประกันชีวิต แค่เริ่มแรกก็ทำให้ฉันกับเพื่อนคึกคักซะแล้ว ว่ามันจะอันตรายขนาดต้องมีการทำประกันชีวิตระหว่างเดินทางเลยเหรอ ประกันชีวิตไม่ได้ทำให้ฉันกับเพื่อนอุ่นใจขึ้นเลย แต่กลับทำให้เราสองคนต้องระมัดระวังความปลอดภัยให้มากขึ้น และแน่นอนสิ่งที่เราต้องเตรียมไปด้วยคือ ไฟฉายกับน้ำขวด เพราะทางมันมืดมาก ต้องใช้ไฟฉายส่องนำทาง ส่วนน้ำเนี่ย ถ้าไปซื้อข้างบนเขา ยิ่งสูงยิ่งแพงกว่าหลายเท่านัก งานนี้ใครแบกได้หนักเท่าไหร่ก็พยายามช่วยกันขนขึ้นไป

เขาหัวซานเป็นภูเขาที่อยู่ในเขตซานซี ซึ่งอยู่ห่างจากเมืองซีอาน 120 กิโลเมตรเท่านั้น ยอดภูเขาที่สูงที่สุดสูงถึง 2,160 เมตรจากระดับน้ำทะเล โดยหัวซานเป็น 1 ใน 5 ขุนเขาแห่งเมืองจีน ซึ่งมีภูเขาเหิงซาน ซงซาน ไท้ซาน เหิงซาน และหัวซาน ซึ่งหากจะแปลตรงตัว "หัว" คำโบราณแปลว่า ดอกไม้ "ซาน" แปลว่า ภูเขา ดังนั้น "หัวซาน" จึงแปลว่า ภูเขาดอกไม้ เนื่องจากเขาหัวซานนี้มียอดเขาอยู่ 5 ยอดหลัก ๆ ทำให้เวลามองภูเขาจะเห็นเป็นเหมือนกลีบของดอกไม้นั่นเอง

 

จุดหมายแรกของเราก็คือ ยอดเขาทางตะวันออก เป็นจุดที่นักปีนเขาทุกคนจะไปดูพระอาทิตย์ขึ้น ดังนั้นเราสองคนมุ่งมั่นจะต้องไปให้ถึงยอดเขาก่อนพระอาทิตย์ขึ้น ทีแรกนึกว่า ปีนเขาตอนกลางคืนคงจะน่ากลัวและอันตรายเป็นแน่ แต่ที่ไหนได้ตามที่ชาวบ้านที่นี่เค้าพูดกันจริง ๆ ตอนกลางคืนเป็นเวลาปีนขึ้น ใคร ๆ ก็ปีนเขาเวลานี้ ดังนั้นระหว่างทางเราจะเจอเพื่อนร่วมทางอยู่ตลอดเวลา บ้างก็ร้องเพลงปลุกใจ บ้างก็บ่นว่าเหนื่อย บ้างก็คุยกับเพื่อนร่วมทางคนอื่น งานนี้เด็กต่างถิ่นอย่างเราสองคนรู้สึกอบอุ่นขึ้นมาทันที เพราะระหว่างทางเราก็ได้รู้จักเพื่อนใหม่อีก 2 กลุ่ม กลุ่มหนึ่งเป็นชายจีน 4 คน และอีกกลุ่มเป็นหญิงจีน 2 คน พวกเราออกตัวปีนเขาพร้อมกัน เดินไป คุยไปกันถูกคอ ก็เลยปีนเขาพร้อมกันไปเลย งานนี้ก็ถือว่าโชคดี ที่ได้เจอเพื่อนร่วมทางที่น่ารัก เพราะเราสองคนมีแผนที่อยู่กับมือ แต่พอไปเจอสถานที่จริง ๆ ป่าเขาต้นไม้เต็มไปหมด มืดก็มืด

“แล้วศัพท์ตัวนี้มันอ่านว่าอะไรเนี่ย ไม่ได้พกพจนานุกรมมาด้วย”
“เอ๊ะ ! ยิ่งดูแผนที่แล้วยิ่งงง”

เลยต้องให้เพื่อนคนจีนเป็นคนดูแผนที่แล้วช่วยนำทางด้วย กลุ่มนี้ก็แปลกไม่พกแผนที่มาด้วย ดังนั้นก็เหมาะเจาะเลย เดินทางไปด้วยกันเนี่ยแหละ ราตรีนี้จะได้ไม่เงียบเหงา แต่มีเรื่องประหลาดใจมาก ผู้หญิงคนหนึ่งในกลุ่มนั้น นุ่งกระโปรงสั้น ! เป็นไปได้ไงเนี่ย มาปีนเขานะ ใส่กระโปรงมันจะสะดวกเหรอ จะปีนขึ้นปีนลงได้ยังไง แต่ก็ขอนับถือเลย งานนี้ทำให้รู้ว่าถ้าใจเกินร้อย จะนุ่งกระโปรง หรือจะนุ่งกางเกงเลย์ ก็ปีนเขาได้เหมือนกัน เพราะขอบอกว่าทางบางช่วงชันมากขนาดเกือบ 90 องศาได้ ปีนไปต้องจับโซ่ไปด้วย บางช่วงก็แคบจริง ๆ ต้องเดินเรียงหนึ่ง แต่ละคนแขม่วพุงกันเป็นแถว ๆ แต่งานนี้ก็มันส์หยดจริง ๆ ระหว่างทางก็จะเห็นหินที่ขึ้นอยู่ตามทาง เป็นรูปทรงต่างๆ ส่วนมากคนจีนจะมองเป็นมังกรบ้างล่ะ นางฟ้าบ้างล่ะ บางหินก็เหมือนดอกบัว แล้วแต่จะจินตนาการกันไป

และแล้วพวกเราก็สามารถพิชิตยอดเขาได้แล้ว (อย่าเพิ่งดีใจไป...ยังมีอีก 4 ยอดนะที่ยังไม่ได้ไป) พระอาทิตย์ในฐานะเจ้าบ้านยังไม่ได้ออกมาทักทายแขก พวกเราในฐานะแขกจึงรออย่างใจจดใจจ่อและพักเหนื่อยไปในตัว ผ่านไปไม่กี่นาทีเจ้าบ้านก็เริ่มออกมาทักทายแขกอย่างช้า ๆ มาต้อนรับแขกบ้านแขกเมือง ที่มาจากทั่วสารทิศ

ณ เวลานั้นฉันหายเหนื่อยเป็นปลิดทิ้ง มันคุ้มจริงๆ หลังจากท้องฟ้าสว่างไสวเต็มที่ พวกเราก็เริ่มวางแผนจะเดินทางพิชิตยอดเขาไหนต่อดี และพวกเราก็ตัดสินใจไปยอดเขากลาง ระหว่างทางเห็นวิวบนยอดเขาช่างสวยจริง ๆ ถ่ายรูปตรงนี้ที ถ่ายรูปตรงนั้นที เกือบจะทุกมุม ปากฉันก็พูดตลอดว่าสวยจริง ๆ ไม่เสียดายเลยที่ตัดสินใจมาที่นี่ ทั้งภูเขา ท้องฟ้า ก้อนเมฆ ทำไมทั้งสามอย่างถึงอยู่ด้วยกันอย่างลงตัวได้นะ ภูเขาที่นี่ไม่เหมือนกับภูเขาที่เมืองไทย ลักษณะไม่เหมือนกัน ดังนั้นจึงสวยคนละแบบ หากจะถามฉันว่าชอบภูเขาที่ไหนมากกว่ากัน ก็คงตอบไม่ได้เช่นกัน

จากยอดเขากลาง ก็ไปต่อที่ยอดเขาใต้ ซึ่งเป็นยอดเขาที่สูงที่สุด ก็ขอชักภาพกับป้ายหน่อยเถอะ แต่ละยอดเขาที่นี่จะมีป้ายบอกความสูงจากระดับน้ำทะเลทั้งนั้น หลังจากนั้นก็ไปต่อที่ยอดเขาตะวันตก ระหว่างทางมีอยู่จุดหนึ่งเป็นทางเดินหวาดเสียว ด้านขวามือเป็นหินสูงชัน แต่ด้านซ้ายมือเป็นเหวมองเห็นวิวข้างล่างอย่างชัดเจน โดยมีแค่โซ่หนาหนึ่งเส้นกันไว้ไม่ให้ตกลงไป งานนี้ไม่อยากจะคิดเลยว่าถ้าตกลงไป โอกาสรอดไม่มีแน่ ๆ แค่มองลงไป จากที่ฉันเป็นคนไม่ได้กลัวความสูงอะไร ขายังมีอาการสั่นอยู่บ้าง เดินแต่ละก้าว ต้องเดินให้มั่น ต้องระมัดระวังมาก จากจุดนี้ทำให้รู้ว่าเพื่อนเกาหลีของฉันที่แท้ก็แอบกลัวความสูงอยู่นี่นา เพิ่งจะมายอมรับตอนนี้ แล้วที่วันนี้เราปีนกันมาทั้งวันเนี่ย ฉันดูไม่ออกเลยนะเนี่ย ใจสู้จริงๆ

ใกล้จะบ่ายโมงแล้ว เสบียงหมด แรงหมด ก็พวกเราปีนเขามาครึ่งค่อนวันได้ หากจะต้องปีนลงเขาอีก เห็นจะต้องคลานกลับเป็นแน่ พวกเราจึงตัดสินใจนั่งรถกระเช้าลอยฟ้าจากยอดเขาทางเหนือ ลงไปถึงตีนเขา ซึ่งพอมาขึ้นรถกระเช้าลอยฟ้าแล้ว ก็รู้สึกว่า เนี่ยเราปีนขึ้นมาสูงขนาดนี้เลยเหรอ นึกไม่ถึงว่าสองเท้าของเราเองจะสามารถปีนขึ้นมาถึงยอดเขาได้ ถึงแม้จะใช้เวลาเป็นวัน ๆ ในการปีนเขา ซึ่งถ้านั่งรถกระเช้าลอยฟ้าคงใช้เวลาเพียงไม่กี่สิบนาที แต่มันคงจะขาดอรรถรสในการเดินทางและประสบการณ์ที่ไม่อาจลืมได้ จากความสวยงามและบริสุทธิ์ของธรรมชาติ มิตรภาพจากเพื่อนที่ตั้งใจหรือไม่ได้ตั้งใจจะร่วมเดินทาง รวมกันทำให้การเดินทางมาหัวซานของฉันมีความหมาย…..บอกแล้วไง เที่ยวหัวไหน ไม่สนุกเท่าเที่ยวหัวซาน

โดย กานต์