HOMETOWN & UNIVERSITYNEWS & INFORMATIONCOURSESGALLERYFORUM 4UFAQs
บทความ - นางสาวรัชนีวรรณ ปานขาว

ท่องแดนยุทธจักรแดนมังกร

เราเป็นคนหนึ่งที่ตั้งแต่เด็กชอบความเป็นจีน ชอบวาดภาพ ชอบตัวอักษรจีน เคยคิดว่าคนจีนมีวิทยายุทธจริงหรือเปล่า เราคิดไว้ว่าถ้าสักวันเรามีโอกาสเราจะไปเมืองจีนให้ได้

10 หว่า ปีผ่านไป มีนาคม พ.ศ. 2547 เราเรียนจบปริญญาตรีกำลังคิดว่าจะทำอะไรต่อดี และแล้วพี่ที่อยู่จีนก็แนะนำให้ไปเรียนภาษาจีน ที่ประเทสจีน เราก็เลยคิดว่า ถ้าเราได้เรียนที่จีนภาษาเราคงจะดี อีกอย่างเราจะได้ถามคนจีนสักทีว่า เค้ามีวิทยายุทธกันหรือเปล่า

เมื่อเตรียมตัวและปรึกษาที่บ้านเรียบร้อย เราก็ได้เดินทางไปเรียนที่เมืองหยางโจว (Yangzhou) “หยางโจว” พูดไปหลายคนไม่รู้จักเมืองนี้ หยางโจวอยู่ในมณฑลเจียงซู (Jiangsu Province) เมืองหลวงของมณฑลคือหนานจิง (Nanjing) หยางโจวใกล้หนานจิงนั่งรถประจำทาง 1 ชั่วโมงก็ถึงหนานจิงแล้ว “หยางโจว” เป็นเมืองเล็กๆ มีแม่น้ำซีหูไหลผ่าน เป็นเมืองที่มีผู้หญิงสวย มีสวนสาธารณะโซว่ซีหู (Shouxihu Gongyuan / Slender West Lake Park) ที่สวยไม่แพ้เมืองอื่นเช่นกัน การเดินทางจากสนามบินดอนเมืองต้องลงเครื่องที่เซี้ยงไฮ้ จากนั้นก็ต่อรถประจำทางหรือว่ารถไฟก็ได้แล้วแต่สะดวก ซึ่งทั้งสองทางใช้เวลา 5 ชั่วโมงเท่ากัน

วันแรกที่ไปถึงยังปรับตัวไม่ได้ทั้งอากาส อาหารและสิ่งแวดล้อม ก้าวแรกที่เหยียบแผ่นดินจีน หนาวมาก พอเดินซักพักเราคิดว่าผู้คนพูดเสียงดังมาก จนเรารำคาญ พอเดินไปอีกนิดก็เจอคนบ้วนน้ำลาย แรกๆ ก็คิดว่าเราไม่น่ามาเลย ผ่านไป 2-3 สัปดาห์ เรายังไม่ชินกับอาหารที่นี่ นอกจาก “ข้าวผัดหยางโจว” เป็นข้าวผัดไข่ใส่เกลือใส่ผักหลายชนิด เป็นอาหารที่เราคิดว่าเหมือนอาหารไทยมากที่สุด และเป็นเมนูขึ้นชื่อของที่นี่ แต่พออยู่ไปเสียงดัง ๆ ของผู้คนเป็นเสียงที่เราคุ้นเคย อาหารการกิน นานไปชิมอะไรก็อร่อยไปหมด เราชอบกินถางหูลู่ (Tang Hu Lu / ผลไม้เชื่อมน้ำตาลเสียบไม้) เป็นที่สุด เราก็พอปรับตัวได้ เริ่มสนุกในการที่จะเดินคุยกับแม่ค้า คุยกับคนขับแท็กซี่ จะว่าไปคนเจีนก็เหมือนคนไทย ตรงที่มีมนุษย์สัมพันธ์ที่ดี ให้ความช่วยเหลือชาวต่างชาติ มีหลายครั้งที่แม่ค้านี้แหละเป็นเหมือนครูสอนว่าต้องทำตัวอย่างไร ของสิ่งนี้เรียกว่าอะไร มันทำให้เราชอบที่จะออกมาเดินคุยกับคนจีน พบปะผู้คน นอกเหนือที่จะคุยกะครูและเพื่อนคนจีน ที่หยางโจวมีคนไทยทั้งหมด 6 คน ดังนั้นเราก็ได้ฝึกภาษาจีนอย่างเต็มที่ นอกเหนือจากเวลาเรียนเรา 6 คนจะแยกกันไปซื้อของ เพื่อฝึกการฟังและการพูด ตอนเย็นหลังกินข้าวก็จะมาเล่าสู่กันฟังว่าเราพูดผิดยังไงบ้างเวลาผ่านยไป 1 เดือนเราทุกคนพูดได้บ้างแล้ว ต่อของได้แล้ว

ที่ประเทศจีนเนี่ยแปลกมากๆ ของทุกอย่างจะตั้งราคาไว้สูงมาก อย่างเช่น เสื้อกันหนาว 150 หยวน พอเราต่อเหลือ 30 หยวน เค้าก็ขายแล้ว ทุกอย่างต่อราคาได้หมด ยกเว้นของในห้างสรรพสินค้า เราสนุกมากในช่วง 2 เดือนแรกกับการต่อราคา จนเสื้อผ้า ของใช้เยอะแยะไปหมด

ห้องเรียนของเราจะเป็นห้องนักเรียนต่างชาติ แยกกับนักเรียนจีน ในห้องเรามี 15 คน เป็นเพื่อชาวเยอรมัน ญี่ปุ่น เกาหลี อเมริกา แอฟริกาใต้ อเมริกา ทุกคนพูดภาษาจีน เราประทับใจนักเรียนจีนมาก นักเรียนว่ามีเป็นระเบียบและขยันในเรื่องการเรียนมาก ภาพที่จะเห็นทุกทุกวันก็คือ ตอนเช้าจะมีนักศึกษาเดินท่องหนังสือ หรือว่ายืนตามต้นไม้ท่องหนังสืออยู่ในห้องเรียนจนดึก และเวลาหมดชั่วโมง นักเรียนจะเดินเปลี่ยนห้องประมาณ 5-10 นาที ทุคนจะเข้าห้องหมด น้อยคนที่จะเดินอยู่ข้างนอก ตรงเวลามาก เราก็อดคิดไม่ได้ ถ้าเด็กไทยเป็นแบบนี้ก็จะดีมากๆ

และตอนเช้าภาพที่จะเห็นจนชินก็คือ ประมาณตีห้าผู้สูงอายุก็จะมุ่งหน้าเดินไปที่สวนสาธารณะเพื่อไปออกกำลังกาย คนแก่ที่นี่แข็งแรงมากๆ เดินขึ้นตึก ขึ้นเขาก็ไม่เหนื่อยง่ายๆ แรกๆ เราก็ไม่ชินเพราะอยู่ไทยไปไหนก็นั่งรถ ขึ้นลิฟต์ตลอด สบายจนชิน แต่อยู่ที่จีนฝึกให้เราอดทน ต้องเดินขึ้นหอพักชั้น 6 ทุกวัน แรกๆ เราไม่มีจักรยานไปไหนถ้าไม่นั่งแท็กซี่ก็เดิน เดิน เดินปวดขามากๆ แต่พอเดินทุกวัน เราไม่ปวดขาแล้ว แข็งแรงขึ้น

พอเราเรียนประมาณ 4 เดือนกว่าก็ปิดเทอม ปิดเทอมแรกเราก็ไปเที่ยวใกล้ๆ ก่อนเพราะเราไม่กล้าไปไกล กลัวถ้าเป็นอะไรมามันจะยุ่ง ที่ที่เราเลือกก็คือ เขาหวงซาน (ข้อมูลเพิ่มเติม: Huang shang / อยู่ทางตอนใต้ของมณฑลอันฮุย) จริงที่เขาบอกว่าถ้าได้ไปเขาหวงซานก็ถือว่าสุดยอดของเขาในจีนแล้ว

วันแรกที่ไปถึงเรางงมาก ที่เค้าจะต้องให้ซื้อรองเท้ากับไม้เท้าและที่ขาดไม่ได้คือชุดกันฝน เราก็ซื้อ พอไปถึงตรงทางขึ้น เค้าจะถามว่าจะนั่กระเช้าขึ้นไปไหม เราคิดว่ามาทั้งทีเดินดูธรรมชาติระหว่างทางดีกว่า ของเราซื้อไว้เต็มเป้เลยเห็นอาจารย์บอกว่าข้างบนเขาขอของแพงและไม่ค่อยมี พอเดินไปซัก 3 ก.ม.เราคิดอยากโยนของทั้งเป้ทิ้งแต่ก็ยังเสียกาย ถือต่อไป เดินไปจุดพักที่กระเช้าจอดอยู่ที่ก.ม.ที่ 7 ตอนนี้อยากร้องไห้แล้ว มันเหนื่อยขาดใจจริง เราพัก 20 นาทีก็เดินต่อเพราะต้องไปให้ถึงโรงแรมก่อนจะเย็น เห็นเค้าบอกว่าอีก 5 ก.ม.ก็ฝืนใจเดิน แต่ระหว่าทางก็ผ่านเขาหลายลูกทั้งชัน ทั้งสูง หมอกหนาและสวนเหมือนสวรรค์ลืมความเหนื่อย รวบรวมกำลังวิ่งถ่ายรูป

17.00 น. ถึงโรงแรมที่พัก ของที่ทนแบกมามันคุ้มจริงเพราะเราทั้งหิว ทั้งเหนื่อย เรากินยาพาราก็นอน วันรุ่งขึ้นตี 4.30 น.เพื่อนปลุกไประดูพระอาทิตย์ขึ้น เหนื่อย ปวดขาแต่ใจนึงก็คิดว่าไหนๆ ก็มา เราก็ตื่น

วันที่สองเราเห็นประโยชน์ของรองเท้าและไม้เท้า มันช่วยเราได้เยอะเดินไปอีก 10 นาทีฝนตกปรอยๆ เราก็หยิบชุดกันฝนมาใส่ แต่ก็เดินต่อไป ยิ่งเดินยิ่งสวยสุดยอดจริงๆ ระหว่างทางเราเห็นคนแบกของขึ้นเขา เราทั้งสงสารทั้งทึ่ง เขาทำได้ยังไง เราประทับใจความยิ่งใหญ่ ทุกอย่างที่หวงซาน เราลงจากเขาถึงข้างล่างประมาณเกือบเที่ยงทานข้าว ขึ้นรถกลับหยางโจว พอเรากลับถึงหยางโจวประมาณ 20.00 น. เราอาบน้ำ นอน เช้าวันรุ่งขึ้นเราลุกจากเตียงไม่ได้ ปวดเขาแทบจะคลาน เข็ดแล้ว

ถ้าพูดว่าเที่ยวเขาที่จีน มันกว้างใหญ่ มันสูง มัน...สุดยอด

พอเปิดเรียนเราก็ชีวิตนกัศึกษาก็กลับมา ทุกวันต้องอ่านหนังสือทำการบ้าน 6 เดือนผ่านไป เราออกไปคุยกะแม่ค้า เราพูดฟังได้ดีขึ้นมาก วันหยุดเราก็จะชวนกันไปเที่ยวเมืองใหล้เช่น อู๋ซี หนานจิง เซี้ยงไฮ้ ซูโจว ทุกเมืองก็มีเอกลักษณ์ สวนสาธารณะที่จีนทุกเมืองสวยงาม ดอกไม้สวย การจัดสวน การประดับตกแต่ง เราชอบมากๆ

พอปิดเทอมฤดูหนาว เราก็ไปเที่ยวปักกิ่ง เพราะเราอยากไปขึ้นกำแพงเมืองจีนไม่มาทั้งทีเสียเที่ยวอยู่แล้ว เรานั่งรถแท็กซี่จกาหยางโจวไปขึ้นเครื่องที่หนานจิงไปปักกิ่ง ถึงปักกิ่งแล้วก็นั่งรถไปโรงแรม ปักกิ่งเป็นเมืองใหญ่แต่สงบ เป็นเมืองหลวงที่ไม่วุ่นวาย ทุกอย่างจะอนุรักษ์วัฒนธรรม สิ่งก่อสร้างเก่าๆ ผสมความทันสมัยอย่างลงตัว ปักกิ่งเป็นเมืองที่เราชอบและประทับใจ เพราะผู้คนยิ้มแย้ม สุภาพ สถานที่ท่องเที่ยวก็เยอะ

วันรุ่งขึ้นเราไปจัตุรัสเทียนอันเหมิน กู้กง (พระราชวังต้องห้าม) และสวนสาธารณะแถวนั้น วันที่สามเราไปอีเหอหยวน หยวนหมิงหยวน วันที่สี่เราไปกำแพงเมืองจีน เราออกแต่เช้าเพราะต้องนั่งรถออกไปอีกเป็นชั่วโมง เราขึ้นที่ปาตาหลิง กำแพงเมืองจีนสมกับเป็นสิ่งมหัศจรรย์จริงๆ เรามองขึ้นไปมันสุดลูกหูลูกตาจริง จากนั้นก็ไปสือซานหลิง (สุสานราชวงศ์หมิง) วันที่ห้าเราไปเดินซื้อของในตัวเมืองปักกิ่ง ผู้คนเป็นมิตร ตำรวจเยอะไปไหนก็อุ่นใจ วันที่หกเรานั่งรถไฟตู้นอนกลับมาลงหนานจิง และแวะเที่ยวหนานจิงอีก 1 วัน พอวันรุ่งขึ้นเราก็ไปกินต้มยำกุ้งที่ร้านอาหารไทย มีอยู่ร้านเดียวที่หนานจิง เราได้กินอาหารไทย น้ำตาจะไหล ถึงแม้ว่าจะหมดไปหลายร้อยหยวน แต่ก็สะใจ จากนั้นก็นั่งรถกลับหยางโจว

เวลาผ่านไปเร็วเหมือนโกหก ก็เกือบจะปี เราก็ชินกับอาหาร วัฒนธรรมจีน และเริ่มชอบเมืองจีนแล้ว อยุ่ที่จีนทำให้เราได้กินอะไรมากมายที่เมืองไทยไม่มี ทุกที่มีสิ่งดีและไม่ดีทุกอย่างไม่สมบูรณ์แบบ แต่เราก็เก็บสิ่งที่ดี 1 ปีกับช่วงเวลาที่อยู่จีนเป็นช่วงเวลาที่ดี มีค่ามาก ทกุอย่างเป็นครูสอนให้เราได้เรียนรู้ มีประสบการณ์หลากหลาย เหล่านี้ทำให้เราโตขึ้นและรู้จักคิด ทำให้เราประทับใจเมืองจีน อีกอย่างที่เราลืมจนกระทั่งกลับมาเมืองไทย เราก็ยังไม่ได้ถามว่าคนจีนมีวิทยายุทธ์จริงหรือเปล่า ถ้าเรามีโอกาสเราจะกลับไปถาม ไปเที่ยว ไปเรียนอีกให้ได้

เรื่องแปลกๆ ที่หยางโจว

  • น้ำแข็งเป็นสิ่งหายาก
  • มีข้าวโพดและสัปปะรดเสียบไม้ขาย
  • กางเกงเอวต่ำหายากมาก
  • ประตูบ้านมีสองชั้น เวลาเปิดมีรหัสลับเหมือนตู้นิรภัย กันโขมยขึ้นบ้าน ครอบครัวส่วนใหญ่อยู่กันเหมือนคอนโด หาบ้านเดี่ยวยากมาก
  • ผู้หญิงส่วนใหญ่ไม่ถอนขนรักแร้
  • ของทุกอย่างต่อราคาได้
  • ไข่ไก่ขายเป็นกิโล
  • วันเสาร์ อาทิตย์ ไปรษณีย์ก็เปิดทำการ
  • ไปรษณีย์ทำได้ทุกอย่าง เสียค่าน้ำ ค่าไฟ ส่งจดหมาย ขายโทรศัพท์มือถือ
  • ในร้านเค เอฟ ซี ไม่มีซอส ไม่มีส้อมและมีด กินมืออย่างเดียว ถ้ากลัวเปื้อนให้เดินไปขอถุงมือพลาสติกที่พนักงาน
  • สินค้าที่เป็นชื่ออังกฤษจะเปลี่ยนเป็นชื่อจีนด้วย
  • คนหยางโจวแทะเมล็ดทานตะวันเร็วมาก
  • จักรยานเป็นสิ่งที่ต้องระวัง ถ้าเผลออาจโดนขโมย
  • ถ้าตึกไม่ถึง 10 ชั้น ไม่มีลิฟต์ เดินขึ้นอย่างเดียว
  • เวลาทานข้าวที่ร้านอาหาร จ่ายเงินเฉพาะค่ากับข้าวกะน้ำดื่ม ส่วนข้าวเปล่าฟรี
  • ทุกแยกถนนจะมีคนตั้งโต๊ะบริการขัดรองเท้า
  • ในเธคจะเปิดเพลงและพอพักจะมีการแสดงกายกรรม
  • รับโทรศัพท์มือถือก็เสียตังค์
  • บนรถเมล์ทุกป้ายที่จอด จะมีเสียงบอกว่าถึงป้ายไหน
  • ปาท่องโก๋ยาวเท่าไม้บรรทัดคู่ละ 1 หยวน
  • น้ำเต้าหู้ เอาถั่วเหลืองมาใส่น้ำร้อนคั้นสดๆ แล้วขาย
  • เต้าหู้เหม็น (โช่ว โต้ว ฝุ) ถึงเหม็นแต่ทุกคนชอบกิน