HOMETOWN & UNIVERSITYNEWS & INFORMATIONCOURSESGALLERYFORUM 4UFAQs
บทความชนะการประกวด - นางสาวพิสตาภรณ์ สวรรค์พร

บินลัดฟ้าสู่เมืองจีน

เมื่อสาวน้อยนางหนึ่งมีชื่อเล่นว่าจิน อยู่บนโลกใบนี้มา 22 ปีกว่า ๆ แล้วจะบินเดี่ยวลัดฟ้าไปเมืองนอกเป็นครั้งแรกในชีวิต เรื่องราวของฉันจะเป็นยังไงต่อไป มาดูกัน

4 กันยา 48 ณ

สนามบินดอนเมือง ผู้คนคับคั่ง มีเสียงของสาววัยรุ่นกลุ่มหนึ่งดังเจื้อยแจ้วแหวออกมาเป็นระยะ ๆ

“เฮ้ย จิน มาถ่ายรูปกันก่อนไปเร็ว” เสียงของนุ้ยเพื่อนสนิทที่คบกันมา 10 ปีเรียกให้ฉันไปถ่ายรูป
“เฮ้ย จิน แกไปแล้ว ฉันจะอยู่กับใคร คิดถึงแกน่ะ รีบกลับมาเร็ว ๆ ล่ะ” แอนเพื่อนสนิทที่สุดของฉันร้องถาม
“ไม่เป็นไร แก ฉันจะส่งเมล์ จะแชทกับแกทุกวันเลยดีม่ะ เอาให้แกไม่รู้สึกว่าฉันไม่ได้ไปไหนเลยดีม่ะ”
“เฮ้ย จิน อย่าลืมเอาหมีแพนด้ามาฝากน่ะ อยากกอดแพนด้าอ่ะ” นิสาวหวานเริ่มขอของฝาก
“ได้เลยเพื่อน”
“เฮ้ยจิน ระวังน่ะไปเมืองจีนโดนใครเค้าฉุดไปจะทำไงเนี่ย ไข้หวัดนกอีก ระวังไม่ได้กลับไทยนะจ๊ะ” หน่อยเพื่อนสาวขี้เล่นของฉันเริ่มแช่งฉันซะแล้ว
“เออ แกนี่ อวยพรเพื่อนได้ดีจริง ๆ รับรองฉันได้กลับมาป่วนแกอีกแน่ๆ ไม่ต้องห่วง”

9.45น. “ผู้โดยสารที่จะขึ้นเครื่องไปเฉิงตู กรุณาเตรียมตัวขึ้นเครื่องได้แล้วค่ะ”
“เฮ้ยได้เวลาแล้ว ฉันไปแล้วน่ะ คิดถึงพวกแกทุกคนน่ะ”
“จินได้เวลาแล้ว ไปกันเถอะ” เสียงพี่เบตตี้ ผู้ร่วมชะตาเดียวกันเตือนฉันให้ขึ้นเครื่องได้แล้ว
“ค่ะ พี่เบตตี้แล้วนี่ต้องทำไงบ้างเนี่ย จินไม่เคยไปเมืองนอกมาก่อน ต้องผ่านด่านอะไรบ้าง บอกจินด้วยน่ะค่ะ”

14.00น. (เวลาเมืองจีน)
“เฮ้อถึงซักที ได้หลับบนเครื่องค่อยยังชั่วหน่อย นี่จะมีคนมารับเรารึเปล่านี่” ฉันถามพี่เบตตี้
“นั่นไง สงสัยอาจารย์จากมหา’ลัยจะมารับแล้ว” พี่เบตตี้ตอบ

ลมอ่อน ๆ โชยมา ถนนสองข้างทางถูกตกแต่งไปด้วย ตึกราอาคารที่สร้างเสร็จแล้ว และกำลังสร้างอยู่ มีรถราให้เห็นบ้างประปราย ไม่ติดขัดแน่นขนัดเหมือนเมืองไทย ภาพคนจีนขี่จักรยานมีให้เห็นอยู่ตลอดสองฟากถนน นั่งรถเพียง 30 จากสนามบินก็ถึงมหาวิทยาลัย SICHUAN NORMAL UNIVERSITY

พอไปถึง หอพักคนต่างชาติ ก็มีคุณลุงใส่แว่น ตัวใหญ่ ๆ หน่อยแต่ท่าทางแกยังแข็งแรงอยู่ ชื่อ คุณหลี่ เข้ามาต้อนรับพวกเรา แกถามเราสองคนว่า
“พวกเธอชื่ออะไร เป็นคนชาติไหน จองห้องพักอยู่ชั้นไหน ล่ะ”
“พวกเราเป็นคนไทยค่ะ ฉันชื่อเบ็ตตี้ ส่วนฉันชื่อจิน จองห้องไว้ชั้น 5 แต่ยังไม่รู้ว่าห้องไหน ตอนนี้ยังมีห้องว่างอยู่ไหมค่ะ”
คุณหลี่ “ตอนนี้ห้องพักชั้น 5 เต็มหมดแล้ว”
พวกเราถึงกับตะลึงงัน ‘อ้าวทำไมห้องเต็มได้ล่ะ ก็จองห้องไว้แล้วไม่ใช่หรอ ทำไงล่ะ แบบนี้ แย่แน่เลย’
คุณหลี่ “เอางี้ไหม ตอนนี้มีนักเรียนญี่ปุ่น ผู้หญิงกำลังหาเพื่อนร่วมห้องอยู่ ถ้าไงก็ไปอยู่ร่วมกับเขาไหมล่ะ”
พวกเราหันหน้ามามองกัน “อืม ก็ดีเหมือนกันแหะ อยู่กันสามคน ตัวหารร่วมเยอะดี จะได้ประหยัดหน่อย”

และแล้วนับแต่นั้นมาพวกเราก็ได้เพื่อนเป็นเมทญี่ปุ่นนามว่า อายูมิ เป็นเพื่อนร่วมทุกข์ร่วมสุขกันตลอดหนึ่งเทอมที่เรียนอยู่ที่เมืองจีน

เรื่องปากเรื่องท้อง

หลังจากจัดการย้ายข้าวของมาอยู่ที่ห้องพักใหม่ เสร็จเรียบร้อยแล้ว ฉันและพี่เบตตี้ก็ออกมาทำความรู้จักกับ อายูมิ สาวน้อยแดนปลาดิบ ซึ่งเป็นคนเรียบร้อยมาก ๆ เธอเป็นคนพูดน้อย ประมาณว่าถามคำตอบคำเลยจริง ๆ หลังจากนั้นเราสามคนก็ออกไปหาอะไรข้างนอกกินกัน เอาละซิทีนี้จะไปกินที่ไหนดีล่ะ แล้วจะกินอะไรเนี่ยไม่รู้จักชื่ออาหารสักอย่าง หลังจากปรึกษากันเสร็จ ก็ได้ข้อสรุปว่า เราต้องหาคนจีนสักคนพาเราไปกินข้าวให้ได้

หลังจากที่พวกเรามัวแต่ลังเล และกล้า ๆ กลัว ๆ ที่จะเข้าไปขอความช่วยเหลือจากคนจีนอยู่นาน ในที่สุด อาการหิวปางตายก็สั่งให้ฉัน เข้าไปหาสาวจีนผู้ใจดีที่จะพาเราทั้งสามไปกินข้าวจนได้ ฉันพูดกับสาวผู้ใจดีว่า
“ขอโทษนะค่ะ ไม่ทราบว่าถ้าจะไปกินข้าว ต้องไปที่ไหนค่ะ”
สาวผู้ใจดี “อ๋อ เดินตรงไปตรงนู้นเลยค่ะ มีโรงอาหารอยู่ เอ่อ แต่รู้สึกว่าตอนนี้โรงอาหารจะปิดแล้ว เอ๊ะ พวกเธอเป็นคนที่ไหนล่ะ เพิ่งมาใหม่หรอ”
ฉันตอบ “ เราสองคนเป็นคนไทยค่ะ ส่วนคนนี้เป็นคนญี่ปุ่น เพิ่งมาถึงที่นี่วันนี้เอง เลยไม่รู้ว่าจะไปหาข้าวกินที่ไหนดี”
สาวผู้ใจดี “ โอ้ พวกเธอเป็นคนไทยหรอ ตอนแรกคิดว่าเป็นคนจีนซะอีก คนไทยหน้าตายังงี้เหรอ ทำไมไม่ดำล่ะ"
ฉันคิดในใจ อ้าวทำไมคนไทยต้องดำด้วยล่ะ
“อ๋อพวกเรามีเชื้อสายจีนค่ะ เลยผิวขาวเหมือนคนจีน”
สาวผู้ใจดี “เอางี้ไหม ฉันเองก็ยังไม่ได้กินข้าว ถ้าไง เดี๋ยวเราออกไปกินข้าวข้างนอกด้วยกันเลย”
"ว้าว คนจีนน่ารักจริง ๆ ในที่สุดก็จะได้กินข้าวสักที" ฉันคิด

ข้าวมื้อแรกที่เมืองจีน มีชื่อว่า กงเป้าจีติง (GONG1 BAO4 JI1 DING1) อาหารขึ้นชื่อของเมืองเสฉวน หลังจากที่บริกรเอาอาหารมาเสริฟ์ พวกเราก็ต้องตกใจกันตาม ๆ กัน
‘โอ้แม่เจ้า ทำไมปริมาณข้าวมันเยอะขนาดนี้ นี่ข้าวจานเดียวจริง ๆ เหรอนี่ ถ้าอยู่เมืองไทยนี่กินได้สองคนเลยนะ จะกินหมดไหมเนี่ย เยอะจริง ๆ แหมแต่ก็อร่อยสมคำล่ำลือจริง ๆ นะ แต่จะดีกว่านี้ถ้าไม่ใส่หัวเจียว (พริกเสฉวนที่กินแล้ว จะทำให้ปากชา ลิ้นชา) และมันคงจะดีกว่านี้อีกถ้าคนทำอาหารใส่น้ำมันให้น้อยกว่านี้หน่อย มันจริง ๆ นี่ฉันยังไม่อยากไขมันในเส้นเลือดอุดตายก่อนกลับเมืองไทยน่ะ’

อาหารมื้อแรกผ่านไปด้วยดี หลังจากที่กินเสร็จ สาวจีนผู้ใจดีก็ให้เบอร์โทรศัพท์ของเธอไว้กับพวกเรา เธอบอกว่า “ถ้ามีอะไรให้ช่วยก็โทรมาหาได้เลย ไม่ต้องเกรงใจ ดีใจที่ได้รู้จักพวกเธอมาก ๆ น่ะ” พวกเราตอบกลับ “เช่นกันค่ะ วันนี้รบกวนเธอมากจริง ๆ ขอบใจมาก ๆ นะ ดีใจจริง ๆ ที่เจอเธอ” หลังจากที่สาวผู้ใจดีจากไป พวกเราก็เริ่มออกสำรวจโรงอาหารและร้านค้าต่างในมหาลัยเพื่อเตรียมพร้อมในวันรุ่งขึ้น

ในช่วงแรก ๆ นั้นพวกเราก็กินข้าวในโรงอาหารมหาวิทยาลัย ซึ่งมื้อหนึ่งจะตกอยู่ที่ 5 - 10 บาท แต่ปริมาณกับข้าวช่างล้นหลามซะจริง ถาดใส่อาหารในโรงอาหารมหาวิทยาลัยที่นี่มีลักษณะเด่นอยู่ประการหนึ่ง คือ รูปร่างลักษณะเหมือนถาดใส่อาหารของเด็ก ๆ สมัยตอนี่เราอยู่อนุบาล เป็นถาดพลาสติกสีเหลืองออกส้ม ๆ มีอยู่ 5 หลุม 3 หลุมสี่เหลี่ยมไว้ใส่กับข้าวและ ข้าว ส่วนอีก 2 หลุมทรงกลมนั้นไว้ใส่น้ำแกง กับ วางถ้วยน้ำ หรือจะใส่กับข้าวอีกก็ไม่ว่าอะไร นอกจากนี้ยังมีหลุมสี่เหลี่ยมผืนผ้ายาว ๆ อีกหลุมหนึ่งไว้เป็นที่วางตะเกียบ

หลังจากที่เราทนอาหารซ้ำ ๆ จำเจของโรงอาหารที่นี่ได้ไม่นาน เราก็เริ่มออกไปกินอาหารข้างนอกแถวมหาวิทยาาลัยกัน ซึ่งเวลาสั่งอาหารแต่ละทีก็ต้องย้ำกับพนักงานว่า “อย่าใส่หัวเจียว อย่าใส่น้ำมันมากนะค่ะ” การกินอาหารที่นี่นั้นไม่เหมือนกับเมืองไทยตรงที่ บางร้านจะมีน้ำชาให้ บางร้านจะมีน้ำซุปให้ แต่จะไม่มีน้ำเปล่าให้ และบนโต๊ะอาหารก็จะไม่มีขวดเครื่องปรุงรสให้ ต้องกินตามรสชาติที่เขาปรุงมาให้เลย จะเสริมแต่งเองก็ไม่ได้ แต่ส่วนใหญ่เขาจะปรุงมาให้กำลังดีอยู่แล้ว ส่วนเวลาจะเรียกเก็บเงินหรือเรียกให้มาเติมข้าว เติมน้ำ หรือจะขออะไรสักอย่างจากบริกรก็ตาม เราก็จะต้องใช้พลังเสียงอันดังในการเรียก จะมานั่งเหนียมอายทำเป็นผู้ดีเหมือนตอนอยู่เมืองไทยไม่ได้ เพราะบริกรที่นี่จะไม่ได้ยิน แล้วท่าน ๆ ก็จะอดได้ในสิ่งที่ต้องการ

อาหารจีนส่วนใหญ่ที่เราสั่งเป็นประจำส่วนใหญ่จะเป็นพวกของผัด ๆ ทอด ๆ เช่น กงเป้าจีติง แผ่นมันฝรั่งทอดผัดหมู ไก่ผัดเปรี้ยวหวาน ข้าวโพดทอดเป็นต้น บางทีเวลาเบื่ออาหารจีนเราก็ไปกินอาหารเกาหลีกัน ซึ่งอาหารเกาหลีที่นี่เขาจะจัดเป็นเซท ๆ คือเซทหนึ่งจะประกอบด้วยอาหารที่เราสั่ง แล้วก็จะมีกิมจิให้ มีชาผลไม้ให้ มีน้ำซุปให้ ซึ่งของแถมพวกนี้เราสามารขอเติมได้ตลอดเวลาโดยที่เขาไม่คิดราคาเพิ่มด้วย ซึ่งมื้อหนึ่งจะตกอยู่ที่ 35 - 40 บาท จะว่าไปแล้วอาหารเกาหลีถือเป็นอาหารต่างชาติที่ได้รับความนิยมจากคนจีนและคนต่างชาติเป็นอย่างสูง

แพนด้าที่รัก

สัตว์อะไรในเมืองจีน ไม่ไปดูไม่ได้ ? ติ้ก ต้อก ติ้ก ต้อก ถูกต้องแล้วครับ แพนค้านั่นเอง มาเมืองจีนไม่ไปดูแพนด้าได้ไง เสียชื่อตายเลย แถมเสฉวนยังเป็นแหล่งของแพนด้าอีก ไม่ไปไม่ได้แล้ว ว่าแต่ถ้าจะไปนี่ต้องนั่งรถอะไรไปล่ะ หลังจากที่ชวนเพื่อนต่างชาติ (ญี่ปุ่น 5 คนไทย 2 คน สเปน 2 คน) นัดวันเวลา กันเป็นที่เรียบร้อยแล้ว คนญี่ปุ่นนามว่า ไดสุเกะ ก็จัดการแนะนำเพื่อนจีนของเขาให้พวกเรารู้จัก ซึ่งมีชื่อเป็นภาษาอังกฤษว่า Roger เขาจะเป็นคนพาพวกเราไปเที่ยวเอง เมื่อถึงวันจริง Roger ก็พาพวกเราไปถึงที่นั่นนั่นตอนบ่าย ๆ ซึ่งเป็นช่วงที่ดีมากที่เราจะได้เห็นแพนด้ากันอย่างเต็มตา เพราะมันไม่หลับอยู่ในถ้ำ ยังออกมานั่งเล่น หาอาหารกินข้างนอก อยู่ ทำให้เราได้ถ่ายรูปแพนด้ากันอย่างสนุกสนาน

ความรู้ใหม่หลังจากที่เป็นกบในกะลาอยู่ตั้งนานที่คิดว่าโลกนี้มีแต่แพนด้าตัวใหญ่ ขนสีขาว ๆ ตาดำ ๆ ประเภทเดียวเท่านั้น ที่ไหนได้ยังมีแพนด้าสีแดงอีก รูปร่างหน้าตามันตัวเล็ก ๆ คล้ายแรคคูณ ตัวสีแดง ๆ มีหางยาว ๆ แถมฉลาดกว่า แพนด้าตัวสีขาวดำอีก ทำไมน่ะหรอ ก็เพราะมันสามารถโพสต์ท่าอยู่ตั้งนานให้ผู้ชมถ่ายรูปได้น่ะสิ แถม การเคลื่อนไหวก็คล่องแคล่วรวดเร็วกว่าแพนด้าตัวใหญ่ด้วย ถ้ามันเห็นว่ามีนักท่องเที่ยวจ้องดูมันเยอะๆ มันก็จะโพสต์ท่ายืน ยกสองมือขึ้นเหมือนจะไหว้ประหลก ๆ ให้ทีหนึ่ง สักพักก็จะกลับไปนั่งกินใบไผ่ต่อ ช่างน่ารักและแสนรู้ซะจริง ๆ มาเที่ยวนี้วิ่งตามแพนค้าไปถ่ายรูปไป สองร้อยกว่ารูป ไม่รู้จะบ้าถ่ายอะไรกันหนักกันหนา แต่ก็สนุกดี จนคนต่างชาติที่ไปด้วยกันก็มองฉัน ด้วยสายตางง ๆ ว่าจะบ้ากล้องอะไรขนาดนั้น

แข่งล่องแพนานาชาติ ที่ พานจือหัว

ตลอดเวลา 4 เดือนที่ฉันอยู่เมืองจีนนั้น ทุก ๆ เดือนฉันและเพื่อนต่างชาติคนอื่นจะจัดทริปออกไปเที่ยวไกล ๆ กันสักที่ เช่น จิ้วไจ้โกว ฮวงหลงซาน กุ้ยหลิน ฉิงเฉิงซาน เป็นต้น แต่เดือนสุดท้ายของปีนี้ ตอนแรกฉันคิดไว้ว่าจะไม่ไปเที่ยวไหนแล้ว จะหยุดพักเตรียมตัวกลับเมืองไทยดีกว่า แต่แล้ว ไดสุเกะเพื่อนชาวญี่ปุ่นที่ไปเที่ยวด้วยกันทุกงานกับฉันก็ถามขึ้นมาว่า “สนใจจะไปเที่ยวพานจือหัวไหม งานนี้เที่ยวฟรี กินฟรี ขอแค่เราเป็นคนต่างชาติ แล้วก็มีพาสปอร์ตเท่านั้นเอง แต่ต้องออกค่ารถไฟขาไป-กลับเองน่ะ”

ฉันเริ่มถามไดสุเกะด้วยความสนใจ “อืม น่าสนใจดีเหมือนกันน่ะ ไปสิ แล้วไปกี่วันล่ะ”
ไดสุเกะ “อาทิตย์นึง”
พี่เบ็ตตี้ร้องขึ้นด้วยความตกใจ “หา อาทิตย์นึง ยังงี้ก็ต้องลาหยุดอาทิตย์นึงเลยน่ะ”
ฉันเริ่มลังเล “แบบนี้ไม่ไปดีกว่า ลาหยุดมาเยอะแล้ว เดี๋ยวเรียนไม่ทัน อีกอย่างถ้าเราสองคนหยุดในห้องก็เหลือนักเรียนเรียนคนเดียวเองน่ะ แล้วงี้อาจารย์จะสอนได้ไง”
พี่เบ็ตตี้ บอกปฎิเสธไปด้วยความเสียดาย “พวกเราไม่ไปล่ะกัน งานนี้ขอบายค่ะ”

หลังจากที่ปฎิเสธไดสุเกะด้วยความตั้งใจว่าไม่ไปแน่ ๆ แล้ว พวกเราก็มีอันต้องเปลี่ยนใจ เพราะเพื่อนนิวซีแลนด์ที่ซี้กันบอกว่างานนี้น่าสนใจดี อยากไปเพราะตั้งแต่มานี่เขายังไม่ได้ไปเที่ยวไหนเลย ตอนแรกพวกเราก็ลังเลอยู่สักพัก แล้วก็ไปปรึกษาอาจารย์ดู อาจารย์ก็บอกว่าว่าทริปนี้น่าสนใจดี ถ้ายังไงจะลองติดประกาศชวนให้นักเรียนต่างชาติที่นี่ไปกันเยอะ ๆ ด้วย อ้าว นี่จะ กลายเป็นทริปครั้งใหญ่ซะแล้วรึนี่ เพราะคราวนี้อาจารย์ออกปากเห็นด้วยแหะ ไป ๆ มา ๆ ก็รวบรวมนักเรียนต่างชาติไปกันได้แค่ 9 คน น้อยกว่าที่คาดไว้เพราะพอบอกว่างานนี้มีการแข่งล่องแพด้วย ทำให้เด็กต่างชาติคนอื่นไม่อยากไป เพราะเป็นโรคกลัวน้ำกัน บางคนก็บอกว่านี่มันฤดูหนาวน่ะไปล่องแพท่ามกลางสายน้ำมันไม่ยิ่งหนาวเข้าไปใหญ่หรอ (ช่วงนั้นอุณหภูมิที่เฉิงตูอยู่ที่ 10 องศา) ด้วยความกังขาต่าง ๆ นานา ทำให้ไม่ค่อยมีใครอยากไปกัน อันที่จริงเราก็เช็คอุณหภูมิเรียบร้อยแล้วว่าที่นั่นอุณหภูมิอยู่ที่ 22 องศา กำลังดีเลย ร้อนกว่าที่นี่อีก ใครไม่ไปก็อย่าไป ส่วนเราขอไปหลบหนาวที่นู่นดีกว่า ผู้ร่วมทริป คนญี่ปุ่น 3 คน ไทย 2 คน สเปน 2 คน นิวซีแลนด์ 2 คน (น่าแปลกมาทริปนี้ไม่มีคนเกาหลีร่วมด้วย)

วันเดินทางพวกเราเดินทางโดยนั่งรถไฟแบบตู้นอนไปกัน รถไฟแบบตู้นอนของที่นี่มีจุดเด่นคือ เป็นที่นอนสามชั้น ซึ่งในช่อง ๆ หนึ่งจะมีตู้นอนแบบหันหน้าเข้าหากัน สรุปว่าล็อคหนึ่งจะมีชั้นนอนทั้งหมด 6 ชั้นซึ่ง เป็นเรื่องแปลกมาก ไม่เคยพบเห็นที่ไหนมาก่อน พวกเราคนต่างชาติทุกคนเลยขอถ่ายรูปเป็นที่ระลึกเก็บไปฝากให้คนที่บ้านดูกัน เช้ารุ่งขึ้นเราก็ไปถึงพานจือหัว ผู้จัดงานที่นั่นคอยต้อนรับดูแลเราเป็นอย่างดี งานนี้เราได้เจอคนไทยด้วยแต่เป็นคนไทยที่เกิดที่เมืองจีนพูดไทยไม่ได้สักคำ โธ่ คิดว่าจะเจอคนไทยที่มาจากเมืองไทยจริง ๆ ซะอีก หลังจากแบ่งทีมแข่งล่องแพท่ามกลางแม่น้ำแยงซี พวกเราได้อยู่ทีมไทย แต่เนื่องจากทั้งงานมีคนไทยแค่ 3 คน ส่วนคนญี่ปุ่นก็มีแค่คนเดียว เขาเลยจัดคนญี่ปุ่นให้มาร่วมทีมกับเรา ซึ่งคนญี่ปุ่นนั้นก็ไม่ใช่ใครอื่นไกลที่ไหน นั่น คือ อายูมิเมทของเรานี่เอง ทีมเราออกตัวเป็นทีมรองโหล่ แถมไม่มีใครล่องแพเป็นอีก เอาละสิแล้วนี่จะไปกันรอดไหมนี่ ตอนเริ่มเล่นแรก ๆ พวกเราก็พายกันมั่วไปหมด พายไปพายมารู้สึกเหมือนพายวนอยู่กับที่ไม่ไปไหน แต่พอช่วงหลัง ๆ ค่อยดีขึ้นมาหน่อย เพราะอาศัยแอบเรียนเทคนิคจากแพลำอื่น พอทำตามเขา แพเราเริ่มเคลื่อนไปเรื่อย ๆ อืมไปได้สวยนี่ แม้ว่าจะเจอคลื่นน้ำแรงบ้างเป็นระยะ ๆ บวกกับความหนาวเหน็บที่ถูกแม่น้ำแยงสีพัดโถมเข้าใส่ และความเหนื่อยล้าที่พายมาเป็น ชั่วโมงกว่าแล้ว ก็ยังไม่ถึงเส้นชัยซะที ก็เริ่มรู้สึกท้อใจบ้าง แต่ สุดท้ายด้วยความร่วมมือร่วมใจและความอึดของทุกคนก็ทำให้เราล่องแพเข้าเป็นลำดับที่ 5 ด้วยเวลา 2 ชั่วโมงนิด ๆ โอ้ช่างเป็นเรื่องน่าภูมิใจจริง ๆ หลังจากที่ออกตัวเป็นที่รองโหล่ แต่กลับเข้าได้เป็นลำที่ 5 นี่มันน่าเหลือเชื่อไหมล่ะ ตอนแรกที่เขาบอกว่าจะมีพิธีแจกรางวัลให้ เราก็ไม่คิดหรอกว่าที่ 5 จะได้รับรางวัลด้วย แต่สุดท้ายเขาบอกว่าพวกเราได้รับเงินรางวัลด้วย คิดเป็นเงินไทยแล้วก็ได้คนละ 5พันบาทไทยเชียวน่ะ เย้ ดีใจจริง ๆ เที่ยวฟรี กินฟรี แถมได้เงินอีก คิดถูกแล้วที่มางานนี้ ถ้าไม่มาเสียใจแย่เลย คืนวันที่รับรางวัลนั้น เค้าเลยพาไปเลี้ยงกัน พวกผู้ชายที่ไปด้วยกันก็ชมพวกเรากันใหญ่ว่าไม่น่าเชื่อเห็นพวกเราตัวเล็ก ๆ แบบนี้ก็ทำได้ เก่งจริง ๆ ทริปนี้ถือว่าเป็นทริปที่ฉันชอบมากที่สุด เพราะนอกจากจะได้เที่ยวฟรี กินฟรีแล้ว ยังเป็นครั้งแรกที่ฉันได้ล่องแพแถมแข่งชนะได้รางวัลกลับมาด้วย และที่สำคัญฉันได้รู้จักเพื่อนคนชาติอื่น ๆ ที่อยู่ในเฉิงตูเพิ่มมากขึ้น

ลาก่อนเมืองจีน

คืนสุดท้ายของปี 48 เราฉลองปีใหม่กันโดยเชิญเพื่อนจีนมาทำกับข้าวเย็นกินกันที่ห้อง ซึ่งอาหารวันนี้แบ่งเป็นอาหารจีนเสฉวน ไหหลำ และอาหารไทย นั่งทำกัน 3 ชั่วโมง กว่าจะเสร็จ เพราะกระทะเจ้ากรรมดันทำพิษ ทำท่าจะทอดได้ทอดไม่ได้ซะงั้น เลยต้องรบกวนคุณป้าข้างบ้านขอยืมกระทะหน่อย แต่คุณป้าบอกว่าตอนนี้เขาก็กำลังใช้อยู่เหมือนกัน เขาเลยมาดูกระทะที่ห้องเราให้ แล้วก็บอกเทคนิดวิธีใช้กระทะแบบนี้ให้เรา โดยให้เราเอาอะไรก็ได้ทุบ ๆ ตรงกลางกระทะหน่อยให้มันบุบลงไป แค่นี้ก็ทอดอาหารได้แล้ว เออ พวกเราก็ทำดู เออก็ดีขึ้นมาอีกนิด พอถูไถไปได้ กว่าจะได้กินข้าวก็ท้องร้องแล้วท้องร้องอีก เราคนไทยทำต้มยำกุ้งให้คนจีนกินโดยใช้เครื่องปรุงผงไวไวควิกรสต้มยำกุ้งมาปรุงรส แล้วก็ใส่กุ้งตัวเล็ก ๆ เห็ดและผักชีอีกนิดหน่อย ให้หน้าตาพอดูเป็นต้มยำกุ้งหน่อยให้คนจีนกิน อืม คนจีนบอกว่าอร่อย แต่เผ็ดจัง ค่อยยังชั่วหน่อยคิดว่าจะไม่รอดซะแล้วมื้อนี้ กินข้าวกันไป นั่งดูโทรทัศน์ไป คุยกันไป ก็ได้บรรยากาศเหมือนฉลองปีใหม่กับที่บ้านดีเหมือนกัน ถือว่าเป็นการฉลองปีใหม่ที่อบอุ่นไปอีกแบบ

หลังจากผ่านวันปีใหม่มาได้ไม่กี่วัน พวกเราก็ต้องเริ่มเตรียมตัวแพ็กของเตรียมกลับบ้านกัน ช่วงนี้เริ่มไม่มีกะจิตกะใจจะเรียนหนังสือแล้ว เพราะพวกเรากลับเมืองไทยหลังจากที่ปิดคอร์สแค่วันเดียว เลยจำใจต้องโดดเรียนออกไปข้างนอกซื้อของฝากให้พ่อแม่พี่น้องกันวุ่นไปหมด ด้วยความที่ไม่ได้จัดกระเป๋าดูว่ามีเนื้อที่เหลือใส่ของฝากมากน้อยเท่าไร ก็เลยซื้อของฝากมาเยอะมากแต่พอสองคืนสุดท้ายก่อนกลับไทยมานั่งจัดของก็ต้องนั่งกลุ้มเพราะข้าวของมันเยอะเกินพิกัด ไม่รู้จะเอากลับเมืองไทยยังไง เพราที่ชั่งกิโลได้ก็ปาเข้าไป 50 กว่ากิโลแล้ว เอาของขึ้นเครื่องได้แค่ 30 โลเองน่ะ แล้วอีก 20 โลที่เหลือทำไงดีล่ะ ก็เลยต้องเอาของฝากบางอย่างแจกให้เพื่อนคนจีนคนอื่นบ้าง ให้คุณป้าข้างบ้านบ้าง ให้พนักงานในมหาวิทยาลัยบ้าง สรุปว่ามีกระเป๋าที่ต้องเอาขึ้นเครื่องด้วย 3 ใบ ตอนแรกนี่ใจหวั่นๆเลย จะผ่านด่านไหมเนี่ย แต่พอถึงที่นู่นจริง ๆ โชคดีมากที่เจอคนไทยด้วยกันแล้วพอดีของเขาน้อยมากเราเหลือฝากเขาโหลดขึ้นเครื่องไปได้ใบหนึ่งตั้ง 8 โลแน่ะ ค่อยยังช่วยที่สวรรค์ยังส่งนางฟ้ามาช่วยเหลือเราหน่อย วันที่เราจะกลับเมืองไทยนั้น เพื่อนจีนเราจากทุกสารทิศและเพื่อนต่างชาติที่ยังเหลืออยู่ก็คอยมาช่วยยกของให้เรา มาคอยส่งเรา ถ่ายรูปและทำซึ้งกันก่อนกลับเมืองไทย

ฉันรู้สึกโชคดีมากและคิดถูกจริง ๆ ที่เลือกมาเรียนที่ SICHUAN NORMAL UNIVERSITY เพราะ นอกจากฉันจะรู้จักเพื่อนต่างชาติมากมายแล้ว ฉันยังได้รู้จักกับเพื่อนชาวจีนอีกหลายคนทีเดียว ซึ่งบางคนก็เป็นครูที่สอนวิชาสนทนาตัวต่อตัวให้ฉัน บ้างก็เป็นเพื่อนของครู เพื่อนของเพื่อน เป็นต้นทุกคนล้วนเป็นเพื่อนที่น่ารักมากจริง ๆ แถมที่นี่ยังมีแหล่งท่องเที่ยวที่ขึ้นชื่อมากมายอีกด้วย

ฉันจะไม่มีวันลืมที่นี่เป็นอันขาด บายบายเพื่อนรัก บายบายเมืองจีน ถ้ามีโอกาสฉันจะกลับมาที่นี่ใหม่น่ะ